Category: พราหมณ์-ฮินดู
-
พญานาค
พญานาค นั้น ตามคัมภีร์ปุราณะหลายเล่มกล่าวว่าเป็นบุตรของ พระกัศยป กับ นางภัทรุ ดังที่ได้กล่าวถึงมาแล้วจากประวัติ พญาครุฑ แต่บางคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องนี้ต่างออกไปบ้าง ดังเช่นคัมภีร์ลิงคปุราณะเล่าว่า นาคเกิดขึ้นจากน้ำพระเนตรของของพระพรหมที่หลั่งไหลออกมา เมื่อทรงทราบว่าพระองค์ไม่สามารถสร้างโลกได้โดยลำพัง ส่วนคัมภีร์พราหมณ์ปุราณะเล่าว่า นาคถือกำเนิดมาจากน้ำ กล่าวกันว่า โลกของนาคอยู่ใต้พื้นโลกมนุษย์ โดยเรียกกันว่า นาคโลก (Naga Loka) ส่วนบางคัมภีร์ เช่น วราหะปุราณะ กล่าวถึงดินแดนนาคว่า อยู่ที่โลกทั้งสามอันได้แก่ บาดาล (Patal) อาตาล (Atal) และ สุตาล (Sutal) พญานาค ผู้เป็นเทพบัลลังก์ของพระวิษณุเหนือเกษียรสมุทรมรนามว่า เศษะนาค (Shesha) หรือ อาทิษะ (Adishesha) ซึ่งอาจแปลได้ว่า “ส่วนที่เหลือ” เรื่องจากเชื่อว่าถือกำเนิดจากส่วนที่เหลือจากการสร้างโลก พญานาคตนนี้มีหนึ่งพันเศียร (สหัสเศียร) เหนือเศียรมีพังพานขนาดใหญ่ บางครั้งเชื่อกันว่า พญานาคเศษะ นี้ เป็นผู้รองรับแผ่นดิน (โลก) ไว้ และตอนท้ายกัลป์จะเป็นผู้พ่นไฟทำลายล้างโลก นอกจากนี้ยังถือว่าพญาเศษะเป็นอวตารหนึ่งของพระวิษณุด้วย ส่วนอีกนามหนึ่งของพญาเศษะนาคคือ “อนันตะ”…
-
พระแม่มีนัคชี
มีนากษี (สันสกฤต: Mīnākṣī) หรือ มีนาฏจิ (ทมิฬ: Mīṉāṭci) หรือรู้จักในนาม องฺคยรกณฺณิ (Aṅgayaṟkaṇṇi) และ ตฑาทไก (Taḍādakai)[4] เป็นเทวีในศาสนาฮินดู เทพารักษ์แห่งนครมตุไรและถือว่าเป็นอวตารของพระปารวตี ถือเป็นเทวีคู่ครองของพระสุนทเรศวร อวตารหนึ่งของพระศิวะ ปรากฏในวรรณกรรมในฐานะราชินีแห่งอาณาจักรปาณฑยะในแถบมตุไร ก่อนที่ต่อมาจะได้รับการยกขึ้นเป็นเทพเจ้า ปรากฏหลักฐานการสรรเสริญบูชาโดยอาทิศังกระ และ ศรีวิทยะ มีการบูชาพระนางเป็นหลักอยู่ในอินเดีย และมีเทวสถานสำคัญคือมีนากษีเทวาลัย ในมตุไร รัฐทมิฬนาฑู ที่มา wikipedia
-
พระแม่กามัคชี
หลังจากที่พระกามเทพได้ถูกเพลิงพิโรธเผาด้วยตาที่สามของพระศิวะแล้ว Chitra Karma ซึ่งเป็นเทพที่เกี่ยวข้องกับด้านศิลป ก็ได้ไปเก็บขี้เถ้าเหล่านั้นมาวาดเป็นรูปคนขึ้นมา พระศิวะทรงทอดพระเนตรมองลงมายังที่รูปนั้น ทันใดนั้นรูปนั้นก็ปรากฎเป็นร่างบุรุษรูปหนึ่งขึ้นมา Chitra Karma คิดว่าบุรุษผู้นี้ได้เกิดจากสายพระเนตรอันเปี่ยมไปด้วยเมตตาของพระศิวะ จึงสั่งให้เค้า สวดมนต์เพื่อเป็นการขอบคุณและระลึกถึงความเมตตาของพระศิวะ และมนต์บทนั้นก็คือ Shata Rudriya พระศิวะทรงพอพระทัยกับการสวดมนต์และบำเพ็ญตบะของบุรุษรูปนั้นมาก ถึงกับทรงให้พรว่าให้มีชัยเหนือเทพทั้งปวงเป็นเวลาหกหมื่นปี ทางด้านพระพรหมเมื่อทราบดังนั้นก็ทรงกลัวว่าจะมีหายนะและภัยพิบัติเกิดขึ้นแก่เรา แก่มวลมนุษยชาติแน่พระองค์จึงทรงกรรณพระแสง หลั่งพระเนตร ร้องไห้และร้องอุทานออกมาว่า Bhand hey bhand ถายหลังบุรุษผู้นั้นจึงมีนามว่า บรันดา อสูรบรันดาเข้าบุกยึดทั้งสวรรค์ของพระอินทร์และโลกมนุษย์ พระอินทร์ตัดสินใจที่จะไปทำ Homa คือการบูชาไฟถึงพระแม่ศักติ เพื่อให้พระแม่ทรงพอพระทัยและประทานพรให้ ในระหว่างที่กำลังบูชาไฟอยู่นั้นก็ได้บังเกิดเป็นศรีจักราและพระแม่กามัคชี่ ลอยออกจากกองไฟกองนั้นขึ้นมา พระแม่กามัคชี่ทรงนำทัพ ต่อสู้กับอสูรบรันดา และนำสวรรค์และโลกมนุษย์กลับคืนมาได้สำเร็จจากประวัติข้างต้นนี้ทำให้พวกเราทราบว่าพระแม่กามัคชี่ศรีทรงเป็นเทพที่เกิดจากบุคลาธิษฐาน และมีความเกี่ยวข้องกับศรีจักราแต่แท้ที่จริงพระแม่มิได้ทรงมีความเกี่ยวข้องกับศรีจักราเลยเป็นเพียงการผูกปกรณ์ขึ้นมาใหม่เท่านั้น และศรีจักราปัจจุบันนี้อินเดียก็ได้รับมาจากตะวันออกกลางพระแม่กามาคชีทรงเป็นส่วนหนึงของพระแม่อธิปราศักติทรงอยู่ในรูปลักษณ์ ของพระแม่เทวี ทรงนั่งขัดสมาธิเพชรพระแม่ทรงถือต้นอ้อย และมือนึงถือดอกไม้ที่มีนกแก้วติดอยู่(สองมือข้างหลัง จำไม่ได้ว่าทรงถืออะไร)บนมงกุดจะมีพระจันทร์ครึ่งเสียวอยู่ทรงเป็นพระที่อยู่ในรูปของศักติ ประจำเมืองกานจีปูรั่ม ถ้าหากฟังมาไม่ผิด พระแม่องค์นี้ถูกสถาปนาขึ้นมาในสมัยของ พระอธิสังขราจารย์
-
พระแม่มริอัมมัน
พระแม่มริอัมมัน (ทมิฬ: மாரியம்மன்) เป็นเทวีแห่งฝนในศาสนาฮินดู เป็นที่เคารพบูชามากในรัฐทมิฬนาฑูของประเทศอินเดีย การบูชาพระมริอัมมันมักมีไปเพื่อการบูชาขอฝน และมีที่บูชาเพื่อขอการรักษาจากโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคบิดและฝีดาษ เข้าใจกันว่าคติบูชาพระแม่มริอัมมันปรากฏในดินแดนอินเดียมาตั้งแต่ยุคก่อนพระเวท เป็นเทวีองค์หลักของชาวทมิฬ หลายครั้งมักเกี่ยวข้องพระนางกับพระแม่ปารวตี พระแม่กาลี และ พระแม่ทุรคา[2] รวมไปถึงพระแม่องค์เทียบเท่าในคติของอินเดียเหนือ ศีตลาเทวี คำว่า “มริ” มาจากภาษาของสังฆัมทมิฬ แปลว่า “ฝน” ส่วน “อัมมัน” เป็นคำทมิฬ แปลว่า “มารดา” พระนางได้รับการบูชาโดยชาวทมิฬโบราณในฐานะเทวีผู้พาฝนและความเจริญ คติการบูชาเทวีนี้ได้รับการมองว่าเป็นวัฒนธรรมบูชาสตรีเพศ เทวสถานในยุคสังฆัม โดยเฉพาะในมทุราย ปรากฏเทวรูปของพระนางและเทวีองค์อื่น ๆ เป็นหลักมากกว่า มาเรียมมันมักถูกมองว่าเป็นหญิงสาวสวยที่มีใบหน้าสีแดง สวมชุดสีแดง บางครั้งเธอก็แสดงภาพด้วยอาวุธหลายแขนซึ่งแสดงถึงพลังอันมากมายของเธอ แต่ในการเป็นตัวแทนส่วนใหญ่ เธอมีเพียงสองหรือสี่แขนเท่านั้น โดยทั่วไปแล้ว มาเรียมมันจะแสดงอยู่ในท่านั่งหรือยืน โดยมักจะถือตรีศูล ในมือข้างหนึ่ง และชาม (กะปาลา) ในมืออีกข้างหนึ่ง มือข้างหนึ่งของเธออาจแสดงโคลน ซึ่งโดยปกติจะเป็น Abhaya Mudra เพื่อขจัดความกลัว เธออาจมีอุปนิสัยสองแบบ อย่างหนึ่งแสดงออกถึงธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์ของเธอ และอีกอย่างหนึ่งมีลักษณะที่น่าสะพรึงกลัวของเธอ มีเขี้ยวและขนแผงคอที่ดุร้าย…
-
พระแม่พหุชระ
พระมารดาผู้คุ้มครองเกย์พระแม่พหุชระ หรือ พระแม่มาตากี มารดาผู้คุ้มครองเกย์พระแม่แห่งความรักในเพศเดียวกัน เหมาะสำหรับเกย์ กะเทย ทอม ดี้ชายรักชาย และ หญิงรักหญิง พระแม่พหุชระ คือ พระแม่ผู้อุปถัมภ์ความรักที่ไม่เป็นไปตามครรลอง พระแม่อุมาเทวี ได้ทรงทราบถึงความรักของมนุษย์ ว่าในโลกนี้ไม่ได้มีเพียงคู่รัก ชาย-หญิง เท่านั้น หากแต่ยังมีความรักในเพศเดียวกัน และกลุ่มผู้รักร่วมเพศเหล่านี้ ก็มักถูกกีดกันออกจากสังคม พระแม่อุมาเทวีจึงแบ่งภาคมาเป็นพระเทวีพระองค์หนึ่ง มีแปดพระกร ทรงศาสตราวุธของพระแม่อุมาเทวีและพระไภรวะ ประทับบนหลังไก่ตัวใหญ่ ติดตามด้วยบริวารสองตน คือ ชายรักร่วมเพศ และ หญิงรักร่วมเพศ เพื่อให้ความอุปถัมภ์ ปกป้องคุ้มครอง ตลอดจนเสริมพลังสร้างกำลังใจให้แก่ชายรักชาย และหญิงรักหญิง ตำนานแรก พระองค์เคยเป็นเจ้าหญิงและต่อมาได้ทรงตอนสามีของพระนางเองเนื่องจากสามีอ้างว่าตนเองจะไปป่า แต่กลับปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากสามี มาเป็นเจ้าสาวบนเตียงแทนซะเอง ตำนานที่สอง มีชายผู้หนึ่งพยายามที่จะเข้ามาทำร้าย พระองค์จึงสาปให้ชายนั้นหมดความเป็นชาย หลังจากนั้นเมื่อพระองค์ให้อภัยชายผู้นั้นด้วยความที่ชายผู้นั้นหมดความเป็นชายแล้ว พระนางจึงให้แต่งกายเป็นหญิง และเมื่อใดที่ชาย(ในร่างหญิง) สวดมนต์แกพระนาง พระนางก็จะประทานพรให้ ด้วยเหตุนี้เองพระนางจึงเป็นที่เคารพบูชาเป็นอย่างยิ่งสำหรับเพศที่สาม
-
พระหริหระ
พระหริหระ (สันสกฤต: हरिहर, อังกฤษ: Harihara) เป็นอวตารรวมของพระวิษณุ (หริ) และพระศิวะ (หระ) เทพเจ้าในศาสนาฮินดู พระนามอื่น เช่น ศันกรนารายณ์ (มาจาก “ศังกระ” คือพระศิวะ และ “นารายณ์” คือพระวิษณุ) และ พรหมนารายณ์ ดังนั้นจึงพบการบูชาพระหริหระทั้งในลัทธิไวษณพและลัทธิไศวะ ให้เป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดองค์หนึ่ง คำว่า “หริหระ” บางครั้งก็ใช้กล่าวถึงคำศัพท์ในเชิงปรัชญาที่แสดงถึงการรวมพระวิษณุและพระศิวะในมุมมองที่แตกต่างภายใต้ความสูงสุดเดียวกันคือพรหมัน แนวคิดของหริหระจึงเทียบเคียงกับ “ความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง” ในคัมภีร์ของปรัชญาฮินดูสำนักอทไวตะเวทานตะ เทวรูปที่เก่าแก่ที่สุดของพระหริหระ พบที่ถ้ำหมายเลข 1 และ 3 ของมนเทียรในถ้ำพทามี ซึ่งสร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 ที่มา Wikipedia
-
พระตรีศักติ
ตรีเทวีหรือตรีศักติ (สันสกฤต: त्रिदेवी) คือ การอวตารรวมของภาคของมหาเทวีสูงสุดทั้งสามองค์ในศาสนาฮินดู อันได้แก่ พระแม่ปารวตี (พระมเหสีของพระศิวะ) พระลักษมี (พระมเหสีของพระนารายณ์) และ พระสุรัสวดี (พระมเหสีของพระพรหม) ซึ่งมหาเทวีสามองค์นี้คือพระผู้เป็นใหญ่ในศาสนาฮินดูนิกายศักติ(นิกายใหญ่ในศาสนาฮินดูที่นับถือพระแม่เป็นหลัก) พระตรีศักติ เป็นตัวแทนแห่งพลังอำนาจของมหาเทพทั้ง 3 โดยแบ่งเป็น รชะ(การสร้างสรรค์) สตวะ(การธำรงอยู่) ตามสะ(การดับไปหรือหมดสิ้นไป) ซึ่งพระแม่มหาสรัสวตีจะอยู่ในรูป รชะ คู่กับพระพรหม พระแม่มหาลักษมีอยู่ในรูปของ สตวะ คู่กับพระวิษณุ และพระแม่มหากาลี หรือ ปารวตี อยู่ในรูปของ ตามสะ คู่กับพระศิวะ ในเทวีภาควตมหาปุราณะ กล่าวว่า พระเทวีทั้งสามปรากฏแรกเริ่มจากการสร้างของพระอาทิศักติ(Adi Shakti)ในสมัยแรกเริ่มกำเนิดจักรวาลนั่นเอง มหาสรัสวตีได้รับการอธิบายว่าเป็นผู้สังหารชุมบาในเทวีภะคะวะตะปุราณะ โดยบอกว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระสรัสวดีเพียงเล็กน้อย พระมหาลักษมีเป็นความเจริญรุ่งเรืองของเทวี พระนางมีสองรูปแบบ คือ พระวิษณุปรียาลักษมี และราชยลักษมี แบบแรกคือศูนย์รวมของความบริสุทธิ์ทางเพศและคุณธรรม เรื่องหลังเกี่ยวกับการติดพันกษัตริย์ Rajyalakshmi ถูกระบุว่าเป็นคนไม่แน่นอนและหุนหันพลันแล่น เธอเข้าไปในสถานที่ทั้งหลายที่สามารถพบคุณธรรมและการกุศลได้ และทันทีที่ทั้งสองคนนี้หายไปจากที่ใด ราชยลักษมีก็จะหายไปจากสถานที่นั้นด้วย มหากาลี เป็นตัวแทนของความมืด Tamas บริสุทธิ์เป็นตัวเป็นตน มหากาลีเป็นหนึ่งในสามรูปแบบหลักของเทวี พระนางได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นลักษณะจักรวาลอันทรงพลัง (พยัตติ) ของเทวี และเป็นตัวแทนของกุนา (พลังงานสากล) ที่ชื่อว่าทามาส และเป็นตัวตนของพลังสากลแห่งการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นพลังเหนือธรรมชาติแห่งกาลเวลา พระสนมของพระตรีมูรติดูบทความหลักที่: สรัสวดี, ลักษมี และ…
-
พระตรีมูรติ
ตรีมูรติ (อังกฤษ: Trimurati, Trinity; สันสกฤต: त्रिमूर्ति, อักษรโรมัน: trimūrti) เป็นพระเจ้า3องค์สูงสุดในศาสนาฮินดู และมีตรีเทวีเป็นเทพีสามองค์ผู้เป็นชายาของตรีมูรติและเป็นศักติหรือพลังอำนาจของมหาเทพทั้ง3ด้วย คำว่า ตรีมูรติ มาจากภาษาสันสกฤต ตรี หมายถึง สาม มูรติ หมายถึง รูปแบบ ตรีมูรติ หมายถึง รูปแบบทั้งสามหรือรูปแบบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ อันประกอบไปด้วย พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ เป็นหลักสำคัญในศาสนาฮินดู หากมองตามหลักปรัชญาสามารถหมายถึง พระผู้สร้าง พระผู้รักษา และพระผู้ทำลาย หรือสามารถเปรียบได้กับหลักธรรมที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ ดับไป พระตรีมูรติในประเทศไทยในยุคปัจจุบัน เชื่อมโยงไปครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พระตรีมูรติเป็นเทพผู้อารักขาวังเพ็ชรบูรณ์ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย พระราชโอรสพระองค์ที่ 72 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปัจจุบันคือ สถานที่ตั้งของห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ ถนนราชดำริ ซึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการทิ้งระเบิดในเขตกรุงเทพมหานคร และบริเวณที่ตั้งวังเพ็ชรบูรณ์ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งถูกถล่มด้วยระเบิด มีเรื่องเล่าว่าแม้สถานที่ของวังฯ จะโดนระเบิดทิ้งลงมา แต่ระเบิดกลับไม่ทำงานหรือด้านไม่สามารถสร้างความเสียหายแก่วังเพ็ชรบูรณ์ได้ สร้างความแปลกใจให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนมาก บทความนี้ มาจากหนังสือ “ปริศนาแลมนตรา”เขียนโดย “ทวีศักดิ์ กาญจนสุวรรณ” เป็นหนังสือสารคดีเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอารยธรรมเขมร ไขปริศนาที่ชวนให้ขบคิด ร้อยเรียงในลักษณะของสารคดีท่องเที่ยว ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณคดี ปรัชญา เทพปกรณัม…
-
พระอรรธนารีศวร
พระอรรธนารีศวร (สันสกฤต: अर्धनारीश्वर, Ardhanārīśwara) เป็นรูปรวมเพศ (androgynous) ของเทพเจ้าฮินดูสององค์คือพระศิวะและพระปารวตี (ต่อมามักเรียกว่าเทวี, ศักติหรือศักติ-ศิวา และพระแม่อุมา) ลักษณะกายแบ่งครึ่งตรงกลางตามแนวตั้ง เท่า ๆ กัน ออกเป็นสองส่วน ครึ่งทางขวามือเป็นเพศบุรุษ คือพระศิวะ มีพระลักษณะแบบพระศิวะปางทั่วไป ส่วนฝั่งซ้ายปรากฏเป็นนารีผู้งดงาม คือ พระแม่ปารวตี รูปเคารพพระอรรธนารีศวรที่เก่าแก่ที่สุดที่พบมาจากยุคจักรวรรดิกุษาณะ ราวคริสต์ศตวรรษที่หนึ่ง รูปเคารพมีการพัฒนาและสมบูรณ์ในยุคจักรวรรดิคุปตะ มีการระบุตำนานและประติมานวิทยาของพระอรรธนารีศวรในปุราณะต่าง ๆ พระอรรธนารีศวรสามารถพบรูปเคารพทั่วไปตามโบสถ์พราหมณ์ส่วนใหญ่ที่มีพระศิวะเป็นองค์ประธาน ถึงแม้ว่าโบสถ์พราหมณ์ที่สร้างโดยมีพระอรรธนารีศวรเป็นองค์ประธานโดยตรงจริง ๆ มีอยู่ไม่มาก ในตำนานกล่าวว่า ในสมัยการสร้างจักรวาล กล่าวคือ พระพรหมได้รับภารกิจให้สร้างมนุษย์เพศชายเพียงเพศเดียว แต่เพศชายเพียงอย่างเดียวไม่มีกำลังในการขยายเผ่าพันธุ์ในโลกได้ ครั้งจะสร้างเพศหญิงขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าจะเอาแบบอย่างมาจากไหน พระพรหมจึงต้องบวงสรวงมหาเทวาธิเทวะ มหาเทวะ พระศิวะ เพื่อให้เสด็จมาแก้ปัญหาที่ค้างคาใจอยู่ พระพรหมบวงสรวงจนเป็นที่พอใจก็เลยเสด็จมา นับเป็นครั้งแรกที่มาในปางอรรธนารีศวร เพศหญิงและเพศชายที่รวมกันอยู่ในร่างเดียวกัน ทำให้พระพรหมเข้าใจในกำลังเสริมของเพศคู่นี้ อันจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และชีวิตใหม่ พระนาม คำว่าอรรธนารีศวร แปลตรงตัวว่า “เทพเจ้าบุรุษผู้ครึ่งหนึ่งทรงเป็นสตรี” พระนามอื่น ๆ ที่พบ เช่น อรรธนรนารี (अर्धनरनारी;…
-
ศิวลึงค์
ศิวลึงค์ ลึงค์ หรือ ลิงค์ (สันสกฤต: लिङ्गं liṅgaṃ หมายถึง เครื่องหมาย สัญลักษณ์ เพศ องคชาต การอนุมาน คัพภะที่ก่อเกิดลูกหลานชั่วนิรันดร์) เป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ใช้ในการบูชาสักการะในโบสถ์วิหารฮินดู ในศาสนาฮินดูยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าศิวลึงค์เป็นตัวแทนทางกายภาพของเทพเจ้าหรือเป็นเครื่องหมายทางจิตวิญญาณ ศิวลึงค์ ถูกแปลความว่าเป็นเครื่องหมายแห่งพลังสร้างสรรค์ในบุรุษเพศที่มาจากองคชาต แม้ว่าในปัจจุบันชาวฮินดูส่วนใหญ่จะมองศิวลึงค์เป็นเครื่องหมายแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์มากกว่าเครื่องหมายทางเพศ ศิวลึงค์มักปรากฏอยู่พร้อมกับโยนี สัญลักษณ์ของพระแม่ปารวตีอันบ่งบอกถึงพลังสร้างสรรค์ของสตรีเพศ การที่ศิวลึงค์และและโยนีอยู่ร่วมกันแสดงถึง “ความเป็นสองในหนึ่งเดียวที่แยกออกจากกันไม่ได้ของบุรุษและสตรี อวกาศที่หยุดนิ่งและเวลาซึ่งเคลื่อนที่อันเป็นต้นกำเนิดของสรรพชีวิต” ตั้งแต่สิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักวิชาการตีความว่าศิวลึงค์และโยนีเป็นอวัยวะเพศชายและหญิง ขณะที่ชาวฮินดูเห็นว่าทั้งสองสิ่งเป็นเครื่องแสดงถึงหลักการที่ว่าหญิงและชายไม่อาจแยกออกจากกันได้และเป็นเครื่องหมายแห่งการก่อกำเนิด ที่มา Wikipedia ตำนานศิวะลึงก์ ตัวแทนแห่งพระศิวะเทพในไทยเรานั้น อาจคุ้นเคยกับกับเครื่องรางหรือวัตถุมงคลอย่างหนึ่ง ที่มีอำนาจสูงส่งด้านโชคลาภ เสน่ห์เมตตามหานิยม ซึ่งเรารู้จักมักคุ้นกันดีในชื่อของ “ปลัดขิก” ปลัดขิกของไทยนั้นมีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีที่มาจาก ศิวลึงค์ ของอินเดีย ตามคติของ ไศวะนิกาย อันเป็นนิกายที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่สูงสุด ในบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย เครื่องหมายที่เป็นองค์แทนของพระศิวะนั้น ชาวไศวะนิกายใช้รูปของ ศิวลึงค์ หรือเครื่องเพศของชาย เป็นสัญลักษณ์สำคัญโดยให้เหตผลว่า นี่คือสัญลักษณ์แห่งพระผู้สร้าง สัญลักษณ์แห่งการให้กำเนิด คติการนับถือนี้นับว่ามีมานานมากที่สุด มีมานานนับพันๆ ปีมาแล้วและแพร่เขาสู่สยามประเทศผ่านทางวัฒนธรรมขอม และหัวเมืองฝ่ายใต้ด้านมลายู แต่เป็นที่แปลกที่ว่าหากเราไปในประเทศอินเดียพูดถึง ปลัดขิก กลับไม่มีใครรู้จัก แต่เขารู้จักเครื่องรางชนิดนี้ในนามของ “ศิวะลิงคัม” ซึ่งแท้ที่จริงก็มาจากคำว่า ลิงคะ หรือภาษาไทยคือ ลึงค์ นั่นเอง ในการนับถือพระศิวะนั้น มักมีการทำรูปสมมุติของพระองค์ด้วยการทำเป็นศิวะลึงค์ หรือสัญลักษณ์แห่งเพศชาย ด้วยเชื่อว่า พระศิวะ คือเทพเจ้าแห่งการรังสรรค์การกำเนิด…