Category: เทพเทวดา
-
ท้าวไตรตรึงษ์เทพ
จักรพรรดิตงเยว่ เทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (หรือภาษาจีนตงเยฺว่ต้าตี้: 東嶽大帝; แปลความหมายว่า ‘จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งยอดเขาตะวันออก’) จักรพรรดิตงเยว่หรือที่รู้จักกันในนามเทพเจ้าแห่งภูเขาไท่ มีทฤษฎีต่างๆ มากมายเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเขา รวมถึงทฤษฎีของจินหง ทฤษฎีของไท่ห่าว ทฤษฎีของผางกู่ ทฤษฎีของเทียนซุน ทฤษฎีของหวงเฟยหู ฯลฯ ในตำนานฮั่นดั้งเดิมและออร์โธดอกซ์อย่างเป็นทางการ ภูเขาไท่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของจักรพรรดิชิงไท่ห่าว ดังนั้นจักรพรรดิชิงจึงถูกเรียกว่าจักรพรรดิตะวันออกและเทพเจ้าแห่งภูเขาไท่ ตามตำนานพื้นบ้านของชาวฮั่น จักรพรรดิเยว่แห่งตะวันออกเป็นผู้รับผิดชอบการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด (พืช สัตว์ และคน) ในโลก เทพเจ้าแห่งภูเขาไท่เป็นผู้ส่งสารอันศักดิ์สิทธิ์ในการสื่อสารระหว่างสวรรค์และโลก พระองค์ทรงเป็นผู้พิทักษ์จักรพรรดิทุกยุคทุกสมัยที่ได้รับความไว้วางใจจากสวรรค์ให้ปกครองโลก ความเชื่อของชาวฮั่นตามทฤษฎีหยินหยางและธาตุทั้งห้าที่เก่าแก่ที่สุดในจีนฮั่น ภูเขาไท่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ที่พระอาทิตย์ขึ้นและแหล่งกำเนิดของทุกสิ่ง ดังนั้น เทพเจ้าแห่งภูเขาไท่จึงมีหน้าที่สำคัญในการเป็นประธานเหนือชีวิตและ ความตายและได้ขยายหน้าที่เฉพาะหลายประการ: ระยะใหม่และเก่า, การรวมประเทศและประชาชน, การยืดอายุและเป็นอมตะ, โชคลาภและตำแหน่งราชการ, ยุคสูงและความตาย, ระบบผี ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ตามตำนานจีน เชื่อกันว่า Dongyue Dadi เป็นพ่อหรือสามีของ Bixia Yuanjun ซึ่งเป็นเทพธิดาที่เกี่ยวข้องกับภูเขาไท่และการคลอดบุตร พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิบหกเทพ (十六諸天 Shíliù Zhūtiān), เทพทั้ง 20 (二十諸天 Èrshí…
-
พระโพธิทรุมพฤกษเทวี
ผูถีชู่เฉิน (จีน: 菩提树神; แปลตรงตัว: “เทวดาต้นโพธิ์”) เป็นนางไม้ (รุกขเทวดา) ผู้สถิตย์และพิทักษ์รักษาในต้นโพธิ์ ซึ่งอันต้นโพธิ์นี้เป็นร่มไม้ที่สำคัญอันสมเด็จพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับในการทรงสมาธิในการตรัสรู้ นางได้รับการสักการะบูชายกย่องในฐานะเทพีในพระพุทธศาสนาแบบจีนและเป็นหนึ่งในยี่สิบสี่ธรรมบาลจีน[1][2] ในทางพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทอธิบายว่านางนั้นคือบุคลาธิษฐานของต้นโพธิ์และพระคุณของของต้นโพธิ์อันมีคุณแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น คติของนางในในพระพุทธศาสนาแบบจีนในทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี คือ การผสานความเชื่อศาสนาพื้นเมืองเดิมเข้ากับพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับพระพุทธศาสนาแบบพม่า พระพุทธศาสนาแบบกัมพูชาในคติความเชื่อ พระเสื้อวัด อารักษ์ มเหสักข์ (มเหศักดิ์) เทพารักษ์ เจ้าพ่อเจ้าแม่ต่าง ๆ อันมีหน้าที่รักษาศาสนสถานของศาสนาพุทธ ในพระบวรพุทธศาสนาสมเด็จพระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณพระธรรมอันประเสริฐแล้วในจักรวาล และในบุคลาธิษฐาน คือสัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้และความรู้แจ้ง สติสัมปชัญญะ ปัญญา[3] ในการตีความทางพุทธศาสนาเชิงปรัชญาอธิบายถึงคุณของต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งมีความงามและคุณเปรียบเสมือนดังบุคลาธิษฐานของเทวีนางไม้ตนนี้[4] ในพระพุทธศาสนาแบบจีนเทวีนางไม้องค์นี้ขนานนามในภาษาจีนว่าผูถีชู่เฉิน นางเป็นหนึ่งในคณะธรรมบาล สิบหกธรรมบาลจีน (十六諸天 Shíliù Zhūtiān) และ ยี่สิบธรรมบาลจีน (二十諸天 Èrshí Zhūtiān) และ ยี่สิบสี่ธรรมบาลจีน (二十四諸天 Èrshísì zhūtiān) ในประติมานวิทยาปรากฏเป็นรูปนางเทพธิดาแบบนางเทพีในคติพุทธมักมีสองหัตถ์โดยในหัตถ์ของนางนั้นถือกิ่งโพธิ์อันเป็นสัญลักษณ์ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ของพระพุทธองค์ ที่มา Wikipedia
-
เจ้าพ่อดาวเหนือ (玄天上帝)
รูปปั้นจักรพรรดิ Zhenwu ในวัด Zhenwu, Libao จักรพรรดิ Zhenwu ยังเป็นที่รู้จักในนามจักรพรรดิ Xuanwu สังฆราชแห่ง Jiutiandang Demon, สังฆราช Wuliang ผู้จัดการทั่วไปของ Sanyuandu, Jiutian Youyishi, Zuotiangang Beiyouyuan General, Xieyun Zhenjun, เทพเจ้าแห่งโชคลาภเพื่อครองโลก, Yuxu Master, Xuantian God, Jinque กลายร่างเป็น จอมมารและคนอื่นๆ ชื่อเต็มคือ “พระสังฆราช เจ้าธรรมขั้วโลกเหนือ เจิ้นหวู่โหยว พระวิญญาณบริสุทธิ์ หยิงเจินจุน พระเจ้าซวนเทียน” และเขาแสดงความเคารพต่อโรงเรียนหยวนเหอเฉียน ภูเขา Wudang หนึ่งในสี่ภูเขาลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน คือ Yinghua Dojo ของจักรพรรดิ Zhenwu
-
ท้าวกินนรราชา (紧那罗)
กินนารา (สันสกฤต: คินนารา) เป็นสิ่งมีชีวิตจากตำนานฮินดูและพุทธ[1] พวกมันถูกอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์และส่วนหนึ่งเป็นนก และมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับดนตรีและความรัก เชื่อกันว่ามาจากเทือกเขาหิมาลัย พวกมันมักจะคอยดูแลความเป็นอยู่ของมนุษย์ในช่วงเวลาที่ยากลำบากหรืออันตราย เครื่องสายอินเดียโบราณเรียกว่า คินนารีวีนา ตัวละครของพวกเขายังได้รับการชี้แจงไว้ใน Adi Parva ของมหาภารตะด้วย โดยที่พวกเขากล่าวว่า: เราเป็นคนรักและเป็นที่รักชั่วนิรันดร์ เราไม่เคยแยกจากกัน เราเป็นสามีภรรยากันชั่วนิรันดร์ เราไม่เคยเป็นแม่และพ่อ ไม่เห็นลูกหลานอยู่บนตักของเรา เราเป็นคนรักและเป็นที่รักที่โอบกอดกันอยู่เสมอ ระหว่างเรา เราไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตที่สามเรียกร้องความรัก ชีวิตของเราคือชีวิตแห่งความสุขชั่วนิรันดร์ มีปรากฏในตำราทางพระพุทธศาสนาหลายเล่ม รวมทั้งนิทานชาดกและสัทธรรมปุณฑริกสูตร ในตำนานพุทธของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สัตว์กินนารีซึ่งเป็นคู่ของกินนรานั้นถูกพรรณนาว่าเป็นสัตว์ครึ่งนกและครึ่งหญิง กินนารีเป็นหนึ่งในสัตว์หลายชนิดที่อาศัยอยู่ในหิมพานต์ในตำนาน มีหัว ลำตัว และแขนของผู้หญิง มีปีก หางและเท้าเหมือนหงส์ พวกเขามีชื่อเสียงในด้านการเต้นรำ การร้องเพลง และบทกวี และเป็นสัญลักษณ์ของความงาม ความสง่างาม และความสำเร็จของผู้หญิงแบบดั้งเดิม เอ็ดเวิร์ด เอช. ชาเฟอร์ตั้งข้อสังเกตว่าในศิลปะทางศาสนาของเอเชียตะวันออก กินนารามักจะสับสนกับกัลวิณกะ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตลูกผสมครึ่งมนุษย์ครึ่งนก แต่จริงๆ แล้วทั้งสองมีความแตกต่างกันและไม่เกี่ยวข้องกัน กินนารีในพม่า รำฉานกินนาราและกินนารีในประเทศพม่า คินนาราเรียกว่า เกอินนายา หรือ กินนายา (ကိနနနရာ [kèɪɰ̃nəjà])…
-
ท้าวพญายมราช
เทพเจ้าแห่งความตาย ผู้ปกครองยมโลก ผู้ตัดสินวิญญาณคนตาย ศาสนาฮินดู พระยม ในคติอินเดีย ทรงกระบองยมทัณฑ์,บ่วงยมบาศ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มียมทูตเป็นบริวาร ศาสนาฮินดูเชื่อว่าพระยมเป็นเทพผู้ดูแลรักษาวัฏสงสาร ให้ดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น เป็นเทพโลกบาลประจำทิศทักษิณ (ทิศใต้) ยมราช เป็นบุตรของพระอาทิตย์ กับพระนางศรัณยา มีชื่อเดิมว่า ยม เป็นผู้ทำหน้าที่เทพแห่งความตาย ปกครองยมโลกและนรก ทำหน้าที่ตัดสินและมอบผลกรรมแก่วิญญาณผู้ตาย พระยมมีอาวุธวิเศษ ที่สร้างขึ้นมาจากฝีมือของพระวิศวกรรม คือ บ่วงยมบาศ และ กระบองยมทัณฑ์ ที่สามารถมอบความตายให้แก่ทุกสรรพชีวิต บางตำนานเล่าว่า พระยมเป็นมนุษย์คนแรกบนโลกที่ตายไปจากโลก และได้รับรู้เรื่องราวหลังความตายและทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมวิญญาณทั้งหลาย และได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ฤๅษีนจิเกตัส บางตำนานเล่าว่า พระยมเคยเกิดเป็นกษัตริย์กรุงโกศัมพี แคว้นไวศาลี ทรงฝักใฝ่ในการทำสงคราม ก่อนตายทรงอธิษฐานให้ได้เกิดเป็นเจ้านรก เมื่อตายแล้วได้มาเกิดเป็นพระยม แต่ยังต้องรับกรรมโดยการดื่มน้ำทองแดงวันละ 3 เวลา เมื่อสิ้นกรรมแล้วจะได้เกิดเป็นท้าวสมันตราช พระยม เป็นสาวกเอกของทั้งพระศิวะและพระวิษณุ พระยมยังมีอีกนาม ชื่อ ธรรมราช ในตำนานฮินดู มีบุคคลที่สามารถเอาชนะความตายได้ คือ ฤๅษีมารกัณเฑยะ และ นางสัตยวดี ในมหาภารตะ พระยมได้ให้กำเนิดบุตร…
-
ท้าวสาครนาคราช (東海龍王)
นาคธิดาแห่ง พญามหาสาครนาคราช : 福德龍女. ท่านหาใช่พระกุมารี หรือ อวี้เหนียน : 玉女 ที่เป็นเทพธิดา ที่มีอยู่มากมายในสรวงสวรรค์ หากแต่เป็นพระโพธิสัตตว์พระองค์หนึ่ง ที่บรรลุธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย ควรแก่การบูชา และนำเป็นแบบอย่างยิ่งนัก ในครั้งพุทธกาลทรงถือกำเนิดในห้วงมหาสมุทร เป็นนาคธิดาแห่ง พญามหาสาครนาคราช (พญามังกรทะเลตะวันออก : 東海龍王) มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เมื่อพระชนมายุได้ ๘ ชันษา ได้สดับธรรมจากพระมัญชุศรีมหาโพธิสัตตว์ 文殊師利菩薩 ก็ได้บรรลุในธรรม ได้รับเทวบัญชาการจาก พญามหาสาครนาคราช ตงไห่หลงหวัง (นาคบิดา) ให้รับภารกิจเดินทางแหวกว่ายไปยังชั้นผิวน้ำ เพื่อสอดส่องดูประชาราชแห่งท้องทะเลว่าอยู่ดีมีสุขเพียงใด ปางเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสแสดงพระธรรมสัทธรรมเทศนา “สัทธรรมปุณฑริกสูตร อวโลกิเตศวรโพธิสัตตว์ สมันตมุขปริวรรต : 妙法蓮華經之觀世音菩薩 普門品 ” ในธรรมสภา ณ. มหาโพธิยาลัยโปตละบรรพต แห่งทะเลใต้ จบลง นาคธิดา 大聖福德龍女 องค์นี้ ก็มีความเลื่อมใสในปฏิปทาของพระโพธิสัตตว์กวนอิม 觀世音菩薩 อย่างมาก ในการที่จะทรงช่วยเหลือโปรดสัตว์ จึงได้ปวารณาตนเป็นศิษย์แห่งพระโพธิสัตตว์กวนอิม…
-
พระนางหาริตีเทวี (鬼子母)
หารีตี (สันสกฤต: Hārītī) เป็นยักขินีในเมืองเปศวาร์และในเทพปกรฌัมทางภูมิภาคต้าเซี่ยซึ่งมีที่มาจากเทวีในวัฒนธรรมฮินดู แต่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงตรงที่นางหารีตีเป็นปอบกินคน นางมีบุตรนับร้อยและรักบุตรเป็นอันมาก แต่จับบุตรของผู้อื่นมาเป็นภักษาหารให้แก่บุตรนาง ครั้นพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่แว่นแคว้นดังกล่าวจากทางแม่น้ำสินธุ ก็เกิดเรื่องเล่าใหม่ว่า สตรีผู้หนึ่งซึ่งบุตรถูกนางหาริตีลักไปได้วอนขอให้พระโคตมพุทธเจ้าทรงช่วยปกป้องบุตรนางด้วย พระองค์จึงทรงลักพาไอชี (Aiji) บุตรสุดท้องของนางหารีตีไปซ่อนไว้ได้บาตร นางหารีตีออกตามหาบุตรไปทั่วท้องจักรวาลแต่ก็ไม่พบ ที่สุด นางจึงมาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาว่า นางเองบุตรหายไปหนึ่งเวลายังเป็นทุกข์ร้อนถึงเพียงนี้ แล้วบิดามารดาผู้อื่นซึ่งบุตรถูกนางลักไปฆ่ากินนั้นจนล่วงลับตลอดไปนั้นจะไม่ร้อนรนเป็นร้อยเท่าพันเท่าหรือ นางหารีตีเมื่อเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานใจของบิดามารดาผู้อื่น จึงปวารณาตัวเป็นผู้คุ้มครองเด็กและเป็นอุบาสิกา ทั้งหันไปบริโภคผลมณีพืชแทนเนื้อเด็ก ภายหลัง นางกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการพิทักษ์รักษาเด็ก การคลอดง่าย การเลี้ยงดูอุ้มชูเด็กอย่างมีความสุข ชีวิตคู่ผัวตัวเมียสุขสันต์ปรองดอง และชีวิตครอบครัวร่มเย็นมั่นคง นางหาริตียังคุ้มครองพุทธศาสนิกชนผู้ปฏิบัติสัทธรรมปุณฑรีกสูตร และสตรีไร้บุตรยังมักกราบไหว้นางหาริตีเพื่อขอบุตรด้วย กล่าวได้ว่า เมื่อพระพุทธศาสนามาถึงดินแดนเปศวาร์แล้ว นางหาริตีก็เปลี่ยนจากยักขินีตามวัฒนธรรมเปอร์เซียดั้งเดิมไปเป็นผู้อภิบาลพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ทำนองเดียวกับที่ในช่วงต้นพระพุทธศาสนาใช้กลืนลัทธิวิญญาณนิยม ต่อมา วัฒนธรรมเกี่ยวกับนางหาริตีก็แพร่หลายไปในเอเชียตะวันออกเช่นญี่ปุ่น และหาริตีในวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นเรียก “คิชิโมะจิง” หรือ “คิชิโบะจิง” (鬼子母神) ที่มา Wikipedia
-
พระแม่มาริจีโพธิสัตว์ (摩利支天)
มารีจี (สันสกฤต: Marīci) แปลว่า หยางยาน แสงสว่างอันสง่างาม และแสงสว่าง พระโพธิสัตว์ พระริเซนโพธิสัตว์ พระมาลีจี พระพุทธรวมแสง พระสะสมแสง ฯลฯ ชาวพุทธชาวจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าพระโพธิสัตว์องค์นี้เป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (ชุนติอวโลกิเตศวร) ในขณะที่พุทธศาสนาตันตระถือว่าพระโพธิสัตว์องค์นี้เป็นอวตารของดอร่าอวโลกิเตศวร (ธารา) ซึ่งมีพลังบุญมากมายและสามารถขจัดภัยพิบัติขจัดอุปสรรค และขอพรให้สมหวัง พลังเวทย์มนตร์ที่น่าทึ่งที่สุดคือการ “ซ่อน” และ “มองเห็นทุกสิ่งที่ซ่อนอยู่” โดยทั่วไปแล้วพระพุทธรูปจะแสดงรูปเทพธิดาที่มีสามหน้า สามตา แปดกร และมีหมูทองอยู่ใต้เบาะ ศาสนาพุทธฮั่นนับถือเขาในวันที่เก้าของเดือนจันทรคติที่เก้าในปฏิทินจันทรคติ และลัทธิเต๋าถือว่าเขาเป็น Doumu Yuanjun ในพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่น สิ่งเหล่านั้นอยู่ในสาขาสวรรค์ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ต้นแบบอาจเป็นพระวรหิเทพีแห่งแสงสว่างที่ศาสนาพราหมณ์โบราณบูชา พระวรหิเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพระอินทร์จักรพรรดิและเป็นผู้ช่วยเทพเจ้าของฤทธิเทพ ต่อมาพระองค์ได้รับการบูชาเป็นพระนาง เทพีแห่งรุ่งอรุณซึ่งอยู่ในรายชื่อเทพเจ้าและยังเป็นที่เคารพนับถือของชาวอินเดียอีกด้วย ในอินเดีย รูปปั้นโบราณของ Malizhitani ยังคงมีอยู่ในซากปรักหักพังของวัด Nalanda นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการที่เชื่อว่ามีองค์ประกอบทางวัฒนธรรมจากอินเดีย อิหร่าน และที่อื่นๆ ในเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา “วราหิ” เป็นเทพเจ้าแห่งมาลิจี บางทีพระภิกษุสร้างมาลิจีเพื่อบดบังภาพลักษณ์ของวราชิเพื่อต่อสู้กับความเชื่อของชาวพราหมณ์ ในประเทศจีน ความเชื่อในมาลิจีมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ พุทธศาสนาแบบจีนบูชารูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ของมาลิซิเทียน สวดมนต์ชื่อศักดิ์สิทธิ์ของมาลิซิเทียน และอ่านคัมภีร์คลาสสิกของมาลิซิเทียน…
-
พระรามสูรจีน (雷公)
ลุ่ยกง หรือสำเนียงจีนกลางว่า เหล่ย์กง (จีน: 雷公; พินอิน: léi gōng; เวด-ไจลส์: lei2 kung1 “เจ้าสายฟ้า”) หรือ เหล่ย์เฉิ่น (จีน: 雷神; พินอิน: léi shén “อสุนีเทพ”) เป็นเทพเจ้าบุรุษในความเชื่อของจีนและศาสนาเต๋า พระองค์คือหนึ่งในพระรามสูรในคติแบบจีนโดยทำหน้าที่กับพระเทพีเมขลาจีนและยังเป็นหนึ่งในห้าแม่ทัพสวรรค์ (五營神兵) ร่วมกับ เอ้อร์หลัง เสิน นาจา คังหง่วนโส่ย จิ่วหง่วนโส่ย โดยเป็นแม่ทัพประจำทิศตะวันออก มีธงสีเขียวเป็นสีประจำกองทัพคุมกำลังทัพสวรรค์ในการรักษาทิศทางของโลกมนุษย์และสวรรค์ พระองค์คือ หลุยจินจู๊ ในพงศาวดารห้องสิน การปรากฎบนงานภาพศิลปะจีน ที่มา Wikipedia
-
พระแม่ธรณี
พระแม่ธรณี เป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ปรากฏในตำนานของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ สันนิษฐานว่าแนวคิดพระแม่ธรณีมีวิวัฒนาการมาจากแนวคิดเทพเจ้าและพระแม่แห่งพื้นดิน พระแม่ปฤธวีในศาสนาฮินดูยุคพระเวท และต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นแนวคิดพระภูเทวี ในฐานะพระชายาของพระวิษณุ พระภูเทวีมีพระนามต่าง ๆ ที่เรียกอย่างหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือพระนามพระศรีวสุนธรา หรือพระพสุธา[1] ซึ่งมีการกล่าวถึงพระนามนี้บ่อยครั้งในพุทธประวัติของพระโคตมพุทธเจ้า โดยเฉพาะในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงชนะมารหรือตอน “พระแม่ธรณีบีบมวยผม” ปรากฏในความเชื่อของศาสนาพุทธในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยมีการบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้อย่างชัดเจนในปฐมสมโพธิกถา ฉบับพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสซึ่งทรงแปลในสมัยรัชกาลที่ 3 ประวัติศาสตร์ จิตรกรรมฝาผนังรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม อุโบสถวัดชมภูเวก จังหวัดนนทบุรี ที่กล่าวกันว่าเป็นจิตรกรรมฝาผนังรูปพระแม่ธรณีที่งดงามที่สุด จิตรกรรมแบบสกุลช่างนนทบุรีในคัมภีร์และงานเขียนยุคแรกของศาสนาพุทธ เช่น พระไตรปิฎก, อรรถกถา ไม่มีการระบุถึงบทบาทของพระธรณีในตอนมารวิชัย อย่างไรก็ตามหลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่มีการระบุถึงพระแม่ธรณีในตอนมารวิชัยคือลลิตวิสตระในนิกายมหายาน แต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 8 โดยระบุว่าพระแม่ธรณีได้เสด็จมาแสดงความยินดีร่วมกับเทวดาองค์อื่น ๆ หลังพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ในศิลปะอินเดียยุคราชวงศ์คุปตะปรากฏการสร้างพระแม่ธรณีในรูปสตรีนั่งอยู่ประกอบฉากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในฐานะของเทพเจ้าแห่งพื้นดิน (ซึ่งอาจหมายถึงพระภูเทวีหรือเทพเจ้าที่คล้ายคลึงกันองค์อื่น ๆ ) ในท่าทางพนมมือหรือถือหม้อกลับ อาจารย์เชษฐ์ ติงสัญชลีได้ให้ความเห็นว่าเป็นหม้อซึ่งบรรจุน้ำทักษิโณทกของพระพุทธเจ้าในชาติต่าง ๆ ก่อนตรัสรู้คติลักษณะการบีบมวยผมของพระแม่ธรณีนั้นปรากฏพบเฉพาะในภูมิภาคไทย ลาว พม่า และเขมรเท่านั้น อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏชัดเจนว่าเริ่มต้นมีความเชื่อนี้ตั้งแต่เมื่อใด พระแม่ธรณีบีบมวยผม ลักษณะของพระแม่ธรณีบีบมวยผมเพื่อขับไล่พญามารนั้นเป็นที่แพร่หลายเฉพาะในแถบไทย ลาว พม่า และ…