Category: พราหมณ์-ฮินดู
-
ท้าวพญายมราช
เทพเจ้าแห่งความตาย ผู้ปกครองยมโลก ผู้ตัดสินวิญญาณคนตาย ศาสนาฮินดู พระยม ในคติอินเดีย ทรงกระบองยมทัณฑ์,บ่วงยมบาศ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มียมทูตเป็นบริวาร ศาสนาฮินดูเชื่อว่าพระยมเป็นเทพผู้ดูแลรักษาวัฏสงสาร ให้ดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น เป็นเทพโลกบาลประจำทิศทักษิณ (ทิศใต้) ยมราช เป็นบุตรของพระอาทิตย์ กับพระนางศรัณยา มีชื่อเดิมว่า ยม เป็นผู้ทำหน้าที่เทพแห่งความตาย ปกครองยมโลกและนรก ทำหน้าที่ตัดสินและมอบผลกรรมแก่วิญญาณผู้ตาย พระยมมีอาวุธวิเศษ ที่สร้างขึ้นมาจากฝีมือของพระวิศวกรรม คือ บ่วงยมบาศ และ กระบองยมทัณฑ์ ที่สามารถมอบความตายให้แก่ทุกสรรพชีวิต บางตำนานเล่าว่า พระยมเป็นมนุษย์คนแรกบนโลกที่ตายไปจากโลก และได้รับรู้เรื่องราวหลังความตายและทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมวิญญาณทั้งหลาย และได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ฤๅษีนจิเกตัส บางตำนานเล่าว่า พระยมเคยเกิดเป็นกษัตริย์กรุงโกศัมพี แคว้นไวศาลี ทรงฝักใฝ่ในการทำสงคราม ก่อนตายทรงอธิษฐานให้ได้เกิดเป็นเจ้านรก เมื่อตายแล้วได้มาเกิดเป็นพระยม แต่ยังต้องรับกรรมโดยการดื่มน้ำทองแดงวันละ 3 เวลา เมื่อสิ้นกรรมแล้วจะได้เกิดเป็นท้าวสมันตราช พระยม เป็นสาวกเอกของทั้งพระศิวะและพระวิษณุ พระยมยังมีอีกนาม ชื่อ ธรรมราช ในตำนานฮินดู มีบุคคลที่สามารถเอาชนะความตายได้ คือ ฤๅษีมารกัณเฑยะ และ นางสัตยวดี ในมหาภารตะ พระยมได้ให้กำเนิดบุตร…
-
พระนางหาริตีเทวี (鬼子母)
หารีตี (สันสกฤต: Hārītī) เป็นยักขินีในเมืองเปศวาร์และในเทพปกรฌัมทางภูมิภาคต้าเซี่ยซึ่งมีที่มาจากเทวีในวัฒนธรรมฮินดู แต่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงตรงที่นางหารีตีเป็นปอบกินคน นางมีบุตรนับร้อยและรักบุตรเป็นอันมาก แต่จับบุตรของผู้อื่นมาเป็นภักษาหารให้แก่บุตรนาง ครั้นพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่แว่นแคว้นดังกล่าวจากทางแม่น้ำสินธุ ก็เกิดเรื่องเล่าใหม่ว่า สตรีผู้หนึ่งซึ่งบุตรถูกนางหาริตีลักไปได้วอนขอให้พระโคตมพุทธเจ้าทรงช่วยปกป้องบุตรนางด้วย พระองค์จึงทรงลักพาไอชี (Aiji) บุตรสุดท้องของนางหารีตีไปซ่อนไว้ได้บาตร นางหารีตีออกตามหาบุตรไปทั่วท้องจักรวาลแต่ก็ไม่พบ ที่สุด นางจึงมาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาว่า นางเองบุตรหายไปหนึ่งเวลายังเป็นทุกข์ร้อนถึงเพียงนี้ แล้วบิดามารดาผู้อื่นซึ่งบุตรถูกนางลักไปฆ่ากินนั้นจนล่วงลับตลอดไปนั้นจะไม่ร้อนรนเป็นร้อยเท่าพันเท่าหรือ นางหารีตีเมื่อเข้าใจถึงความทุกข์ทรมานใจของบิดามารดาผู้อื่น จึงปวารณาตัวเป็นผู้คุ้มครองเด็กและเป็นอุบาสิกา ทั้งหันไปบริโภคผลมณีพืชแทนเนื้อเด็ก ภายหลัง นางกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการพิทักษ์รักษาเด็ก การคลอดง่าย การเลี้ยงดูอุ้มชูเด็กอย่างมีความสุข ชีวิตคู่ผัวตัวเมียสุขสันต์ปรองดอง และชีวิตครอบครัวร่มเย็นมั่นคง นางหาริตียังคุ้มครองพุทธศาสนิกชนผู้ปฏิบัติสัทธรรมปุณฑรีกสูตร และสตรีไร้บุตรยังมักกราบไหว้นางหาริตีเพื่อขอบุตรด้วย กล่าวได้ว่า เมื่อพระพุทธศาสนามาถึงดินแดนเปศวาร์แล้ว นางหาริตีก็เปลี่ยนจากยักขินีตามวัฒนธรรมเปอร์เซียดั้งเดิมไปเป็นผู้อภิบาลพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ทำนองเดียวกับที่ในช่วงต้นพระพุทธศาสนาใช้กลืนลัทธิวิญญาณนิยม ต่อมา วัฒนธรรมเกี่ยวกับนางหาริตีก็แพร่หลายไปในเอเชียตะวันออกเช่นญี่ปุ่น และหาริตีในวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นเรียก “คิชิโมะจิง” หรือ “คิชิโบะจิง” (鬼子母神) ที่มา Wikipedia
-
พระแม่มาริจีโพธิสัตว์ (摩利支天)
มารีจี (สันสกฤต: Marīci) แปลว่า หยางยาน แสงสว่างอันสง่างาม และแสงสว่าง พระโพธิสัตว์ พระริเซนโพธิสัตว์ พระมาลีจี พระพุทธรวมแสง พระสะสมแสง ฯลฯ ชาวพุทธชาวจีนส่วนใหญ่เชื่อว่าพระโพธิสัตว์องค์นี้เป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (ชุนติอวโลกิเตศวร) ในขณะที่พุทธศาสนาตันตระถือว่าพระโพธิสัตว์องค์นี้เป็นอวตารของดอร่าอวโลกิเตศวร (ธารา) ซึ่งมีพลังบุญมากมายและสามารถขจัดภัยพิบัติขจัดอุปสรรค และขอพรให้สมหวัง พลังเวทย์มนตร์ที่น่าทึ่งที่สุดคือการ “ซ่อน” และ “มองเห็นทุกสิ่งที่ซ่อนอยู่” โดยทั่วไปแล้วพระพุทธรูปจะแสดงรูปเทพธิดาที่มีสามหน้า สามตา แปดกร และมีหมูทองอยู่ใต้เบาะ ศาสนาพุทธฮั่นนับถือเขาในวันที่เก้าของเดือนจันทรคติที่เก้าในปฏิทินจันทรคติ และลัทธิเต๋าถือว่าเขาเป็น Doumu Yuanjun ในพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่น สิ่งเหล่านั้นอยู่ในสาขาสวรรค์ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ต้นแบบอาจเป็นพระวรหิเทพีแห่งแสงสว่างที่ศาสนาพราหมณ์โบราณบูชา พระวรหิเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพระอินทร์จักรพรรดิและเป็นผู้ช่วยเทพเจ้าของฤทธิเทพ ต่อมาพระองค์ได้รับการบูชาเป็นพระนาง เทพีแห่งรุ่งอรุณซึ่งอยู่ในรายชื่อเทพเจ้าและยังเป็นที่เคารพนับถือของชาวอินเดียอีกด้วย ในอินเดีย รูปปั้นโบราณของ Malizhitani ยังคงมีอยู่ในซากปรักหักพังของวัด Nalanda นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการที่เชื่อว่ามีองค์ประกอบทางวัฒนธรรมจากอินเดีย อิหร่าน และที่อื่นๆ ในเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา “วราหิ” เป็นเทพเจ้าแห่งมาลิจี บางทีพระภิกษุสร้างมาลิจีเพื่อบดบังภาพลักษณ์ของวราชิเพื่อต่อสู้กับความเชื่อของชาวพราหมณ์ ในประเทศจีน ความเชื่อในมาลิจีมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ พุทธศาสนาแบบจีนบูชารูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ของมาลิซิเทียน สวดมนต์ชื่อศักดิ์สิทธิ์ของมาลิซิเทียน และอ่านคัมภีร์คลาสสิกของมาลิซิเทียน…
-
พระแม่ธรณี
พระแม่ธรณี เป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ปรากฏในตำนานของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ สันนิษฐานว่าแนวคิดพระแม่ธรณีมีวิวัฒนาการมาจากแนวคิดเทพเจ้าและพระแม่แห่งพื้นดิน พระแม่ปฤธวีในศาสนาฮินดูยุคพระเวท และต่อมาได้วิวัฒนาการเป็นแนวคิดพระภูเทวี ในฐานะพระชายาของพระวิษณุ พระภูเทวีมีพระนามต่าง ๆ ที่เรียกอย่างหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือพระนามพระศรีวสุนธรา หรือพระพสุธา[1] ซึ่งมีการกล่าวถึงพระนามนี้บ่อยครั้งในพุทธประวัติของพระโคตมพุทธเจ้า โดยเฉพาะในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงชนะมารหรือตอน “พระแม่ธรณีบีบมวยผม” ปรากฏในความเชื่อของศาสนาพุทธในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับในประเทศไทยมีการบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้อย่างชัดเจนในปฐมสมโพธิกถา ฉบับพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสซึ่งทรงแปลในสมัยรัชกาลที่ 3 ประวัติศาสตร์ จิตรกรรมฝาผนังรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม อุโบสถวัดชมภูเวก จังหวัดนนทบุรี ที่กล่าวกันว่าเป็นจิตรกรรมฝาผนังรูปพระแม่ธรณีที่งดงามที่สุด จิตรกรรมแบบสกุลช่างนนทบุรีในคัมภีร์และงานเขียนยุคแรกของศาสนาพุทธ เช่น พระไตรปิฎก, อรรถกถา ไม่มีการระบุถึงบทบาทของพระธรณีในตอนมารวิชัย อย่างไรก็ตามหลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่มีการระบุถึงพระแม่ธรณีในตอนมารวิชัยคือลลิตวิสตระในนิกายมหายาน แต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 8 โดยระบุว่าพระแม่ธรณีได้เสด็จมาแสดงความยินดีร่วมกับเทวดาองค์อื่น ๆ หลังพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ในศิลปะอินเดียยุคราชวงศ์คุปตะปรากฏการสร้างพระแม่ธรณีในรูปสตรีนั่งอยู่ประกอบฉากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในฐานะของเทพเจ้าแห่งพื้นดิน (ซึ่งอาจหมายถึงพระภูเทวีหรือเทพเจ้าที่คล้ายคลึงกันองค์อื่น ๆ ) ในท่าทางพนมมือหรือถือหม้อกลับ อาจารย์เชษฐ์ ติงสัญชลีได้ให้ความเห็นว่าเป็นหม้อซึ่งบรรจุน้ำทักษิโณทกของพระพุทธเจ้าในชาติต่าง ๆ ก่อนตรัสรู้คติลักษณะการบีบมวยผมของพระแม่ธรณีนั้นปรากฏพบเฉพาะในภูมิภาคไทย ลาว พม่า และเขมรเท่านั้น อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏชัดเจนว่าเริ่มต้นมีความเชื่อนี้ตั้งแต่เมื่อใด พระแม่ธรณีบีบมวยผม ลักษณะของพระแม่ธรณีบีบมวยผมเพื่อขับไล่พญามารนั้นเป็นที่แพร่หลายเฉพาะในแถบไทย ลาว พม่า และ…
-
ท้าวธตรฐ
ท้าวธตรฐ (บาลี: Dhataraṭṭha; สันสกฤต: Dhṛtarāṣṭra) เป็นหนึ่งในสี่จาตุมหาราช เจ้าแห่งคนธรรพ์ ผู้ปกครองทิศตะวันออก ฤดูร้อน ธาตุไฟ ทรงพิณเป็นสัญลักษณ์ ที่มา Wikipedia
-
ท้าววิรูปักษ์
ท้าววิรูปักษ์ เป็นหนึ่งในสี่จาตุมหาราชผู้ปกครองทิศตะวันตก และเป็นเจ้าแห่งนาคทั้งปวง (ทรงเป็นเทวดาที่เป็นเจ้าแห่งนาค มิใช่เผ่าพันธุ์นาคแต่อย่างใด) นอกจากนี้ยังมีกล่าวถึงในขันธปริตร (โบราณเรียกพระปริตรกันงู) บทสวดเจ็ดตำนาน สวดเพื่อให้สวัสดิภาพจากพวกสัตว์มีพิษทั้งหลาย เพราะท้าวมหาราชพระองค์นี้ทรงมีนาคเป็นบริวาร พระสงฆ์นิกายมหายานของจีนกล่าวว่า “ดวงตาที่เบิกกว้าง” กษัตริย์ซีซุนสามารถสังเกตโลกสามพันโลกได้ตลอดเวลาด้วยดวงตาที่บริสุทธิ์ของเขา และปกป้องสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่าราชาแห่งดวงตาที่เบิกกว้าง ตามทางตะวันตกของภูเขาพระสุเมรุ รูปปั้นตะวันตกของผู้พิทักษ์ร่างกายสากลของ Guangmu Tianwang มักพบเห็นในวัดมหายานของจีน รูปปั้นนี้มีลำตัวสีแดงและสวมชุดเกราะ รูปปั้นนี้มีมังกร Chi (หรือที่เรียกว่า Chisuo ในบางพื้นที่) อยู่ในมือ มีภาพสากลมากมายของกษัตริย์สวรรค์ตะวันตกองค์นี้ มีบันทึกไว้ใน Dharani Collection Sutra ว่าเขาถือ shuò ในมือซ้าย และเชือกสีแดงในมือขวาของเขา ส่วนที่เหลือก็เหมือนกับภาพจากสวรรค์ พระเจ้าดริตา. ใน “ร่างของกษัตริย์ผู้ประเสริฐทั้งสิบหกองค์ที่ได้รับการปกป้องโดยปรัชญา” กวงมู่มีร่างกายสีแดง แขนสองข้างข้างหนึ่ง ดวงตากลมโตและยื่นออกมา สวมหมวกมังกรบนหัว และชุดเกราะ [ไค] มังกรอยู่ในพระหัตถ์ขวาและถือหอคอยไว้ในพระหัตถ์ซ้าย ในจักรวาลแห่งดินแดนอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีหน้าที่เฝ้าประตูทิศตะวันตก และพระเจ้าทรงมีความรัก เนื่องจากแปลงร่างเป็นนกปีกทองจึงสามารถปราบราชามังกรได้ ดังนั้น การจับมังกรทางขวามือจึงหมายถึงอากาศดีและอากาศดี เขามีร่างกายสีแดง สวมชุดเกราะ…
-
ท้าววิรุฬหก
ท้าววิรุฬหก (บาลี: Viruḷhaka; สันสกฤต: विरूढक) เป็นท้าวมหาราชผู้ปกครองเหล่ากุมภัณฑ์ และเป็นโลกบาลผู้ปกครองทิศใต้ ในมหาสมัยสูตรและบทภาณยักษ์ว่า โลกบาลแห่งทิศทักษิณทรงพระนามท้าววิรุฬหกมหาราช จอมกุมภัณฑ์ ส่วนในอาฏานาฏิยปริตรว่าเป็นจอมเทวดา ลัทธิข้างจีนฝ่ายมหายานว่า ทรงพระนามเตียงเชียง แปลว่า สง่างาม มือถือร่ม ทางทิเบตว่าถือกระบี่ ทรงเป็นผู้ปกป้องพระพุทธศาสนา หนึ่งใน “สี่กษัตริย์แห่งสวรรค์” และกษัตริย์สวรรค์องค์ที่ 5 ในบรรดา “สวรรค์ทั้ง 20” “เจริญ” หมายถึง สามารถสั่งสอนสัตว์ มีรากที่ดี และรักษาธรรมได้ เขาอาศัยอยู่ที่ Liulikuntu บนภูเขา Xumi เขามีสีฟ้าและสวมชุดเกราะ ราชาแห่งการเติบโตคือกษัตริย์จิ่วปันถู [1] โดยมีจิ่วปันถู, ซีลี่ตัวต้ว ฯลฯ เป็นผู้อยู่ในความอุปการะของเขา ที่มา Wikipedia
-
ท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์
พระอินทร์ ราชาผู้ครองสวรรค์ ศาสนาพราหมณ์ หรือ ศาสนาฮินดู แต่โบราณจะนับถือ พระอินทร์ ให้เป็นใหญ่สูงสุด พระอินทร์ถือได้ว่าคือเทพเจ้าองค์แรกสุดของศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็ว่าได้ จนในปัจจุบัน การบูชาพระอินทร์ก็ยังมีอยู่ในหมู่ผู้ศรัทธาทั่วไป เพียงแต่ถูกลดบทบาทลงทั้งในศาสนาฮินดู ที่ยกย่อง พระพรหม พระวิษณุ (พระนารายณ์) และ พระศิวะ (พระอิศวร) ขึ้นเป็นใหญ่แทน เมื่อโบราณ พระอินทร์ ถือว่ามีอานุภาพสูงที่สุดในบรรดาเทพทั้งปวง สามารถดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆได้ เช่น บันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล ให้พืชพรรณงอกงาม เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดี และยังเป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดในการบันดาลให้เกิดภัยทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า น้ำท่วม พายุอันรุนแรง ฯลฯ พระอินทร์ มี วัชระ หรือ สายฟ้า เป็นศาสตราวุธคู่กาย วัชระนี้สามารถสร้างสายฝนและฟ้าผ่า ฟ้าร้องได้ เป็นศาสตราวุธของเทพเจ้าที่ทรงอำนาจเป็นอย่างมาก สามารถผ่ามหาสมุทรได้ สามารถผ่าภูเขาได้ สามารถผ่าท้องฟ้าได้ พระวรกายของพระอินทร์นั้นมีสีเหลืองทอง กระจ่างสดใส อีกตำราก็ว่าพระอินทร์มีผิวสีแดงเข้ม สวมอาภรณ์อย่างสวยสดงดงาม ดูสะอาดสะอ้าน มีงูเป็นสร้อย สวมเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมาย เช่น…
-
ท้าวเวสสุวรรณ
ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท่านท้าวกุเวร นั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือ คทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ย อีกด้วย กล่าวกันว่า ผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือ มีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัย จากวิญญาณร้าย ที่จะเข้ามา เบียดเบียน ในภายหลัง ภาพลักษณ์ของท้าวกุเวร ที่ปรากฎในรูปของชายพุงพลุ้ย เป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่า เป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งมาในรูปของยักษ์ เป็นที่เคารพ นับถือว่า เป็นเครื่องราง ของขลัง ป้องกัน ภูติผีปีศาจ “สารานุกรมไทย” ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439 กล่าวถึง ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์…
-
พญาครุฑ
เทพพาหนะแห่งพระวิษณุ พญาครุฑ : เทพพาหนะ หนังสือ : ตรีมูรติ อภิมหาเทพของฮินดูโดย : อรุณศักดิ์ กิ่งมณี คัมภีร์ปุราณะของฮินดูเล่าถึงกำเนิดพญาครุฑไว้ว่า ครั้งหนึ่งพระทักษะปชาบดีได้ยกสิบสามนางให้พระกัศยปเทพบิดร (Kasyapa) ซึ่งธิดาสององค์ คือนางวินตา (Vinta) และนางกัทรุ (Kadru) แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน โดยนางกัทรุขอพรจากพระกัศยปให้มีบุตรเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตาขอพรให้มีบุตรเพียงสององค์ แต่ให้มีฤทธิ์อำนาจมากกว่าบุตรของนางกัทรุ นางกัทรุคลอดลูกออกมาเป็นไข่หนึ่งพันฟอง เมื่อเวลาผ่านไปห้าร้อยปีกก็บังเกิดเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตา คลอดลูกเป็นไข่สองฟอง หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานไข่ก็ยังไม่ฟักเป็นตัว นางวินตาจึงทุบไข่ใบแรกปรากฏเป็นเทพมีเพียงครึ่งองค์ ไม่มีท่อนล่าง เนื่องจากเกิดก่อนกำหนดนามว่า อรุณเทพบุตร พระอรุณโกรธนางวินตา ที่ทำให้ตนพิการ จึงสาปให้ต้องไปเป็นทาสนางกัทรุเป็นเวลาห้าร้อยปี แต่ก็บรรเทาคำสาปว่า หากนางวินตาสามารถทนรอไปอีกห้าร้อยปีจนไข่อีกฟองหนึ่งฟักเป็นตัว บุตรในไข่ใบที่สองจะช่วยนางให้พ้นคำสาป ต่อมานางวินตา และนางกัทรุแข่งพนันทายสีม้าเทียมรถทรงของพระอาทิตย์ โดยมีข้อแม้ว่าหากผู้ใดแพ้ต้องยอมเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่ง นางกัทรุใช้อุบายให้นาคผู้เป็นลูกเข้าไปแทรกอยู่ในรถขนม้า เพื่อให้สีเปลี่ยนไป นางวินตาจึงแพ้พนัน กลายเป็นทาสของนางกัทรุ หลังจากนั้นอีกห้าร้อยปี ไข่ใบที่สองก็แตกออกมาเป็นบุตรผู้มีกำลังมหาศาล มีรัศมีทองสว่างไสวกว่าพระอาทิตย์นับร้อยเท่า มีศีรษะจงอยปาก และปีกเหมือนนกอินทรี แต่ร่างกายและแขนขาเหมือนมนุษย์มีนามว่า “เวนไตย” (แปลว่า เกิดจากนางวินตา เมื่อพญาเวนไตยเติบโตขึ้น ทราบว่ามารดาตนต้องเป็นทาสของกัทรุเพราะแพ้อุบาย…