Author: thepdevata.com
-
ท้าวปัญจิกมหาเสนา
ท้าวปัญจิกมหาเสนา หรือ นายพลซานจือ (สันสกฤต: पञ्चिक Pāñcika, ทับศัพท์ว่า Sanzhijia, Banzhijia, Pāñcika; ชื่อภาษาสันสกฤต สันจเนยะ, ทับศัพท์ว่า Sanzhiyaksha แปลเป็นภาษาจีน: Sanzhiyaksha, Sanzhiyaksha, Banzhiyaksha King) เป็นเทพเจ้าแห่งศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดแม่ทัพยักชะภายใต้การปกครองของ บัลลังก์บิชามอนและหนึ่งในยี่สิบแปดเผ่าของอวโลกิเตศวรพันกร ภรรยาของเขาเป็นเทพีแห่งผี (แม่ของจักรพรรดิเฮลี) ชื่อ “Sanzhi” เป็นคำแปลเก่า ในศาสนาพุทธฮั่น นายพลซานจือยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ปกป้องหนึ่งในสวรรค์ทั้ง 24 แห่ง และรูปปั้นของเขามักจะวางไว้ในห้องโถงหลักของวัด ตามตำนาน คู่รัก Banzhijia และ Haridi มีลูกหลายร้อยคน (บางคนบอกว่าห้าร้อยคน) ชาวพุทธเชื่อว่าหลังจากที่บันจิกาเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธในบิชะมอนเท็น เขาก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธด้วย ในวรรณคดีคลาสสิกของศรีลังกาเรื่อง “The Great History” Banzhika ปรากฏเป็นหนึ่งใน 28 นายพล Yaksha นอกจากจะเป็นเทพแห่งศิลปะการต่อสู้ด้วยหอกแล้ว Banzhiga ในฐานะยักชายังมีเทพแห่งความมั่งคั่งเป็นเทพแห่งผิวหนังและอัญมณี “พระสูตรที่ 8…
-
พระวัชรปาณีโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์วัชรปาณี หรือ พระวัชรปาณีโพธิสัตว์ (สันสกฤตและบาลี: Vajirapāṇi, แปลว่า “[ผู้มี]วัชระ[ใน]มือ”) เป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในธรรมเนียมมหายาน เชื่อว่าเป็นผู้ปกป้องและผู้นำทางของพระโคตมพุทธเจ้า ปรากฏพระวัชรปาณีมากในประติมานวิทยาพุทธเป็นหนึ่งในสามเทวดาหรือพระโพธิสัตว์ผู้ปกป้องหรือรายล้อมพระพุทธเจ้าที่ปรากฏทั่วไปและเก่าแก่ที่สุด โดยแต่ละองค์เป็นตัวแทนของอำนาจของพระพุทธเจ้าที่ต่างกัน คือ พระมัญชุศรีแทนปัญญาของพระพุทธเจ้าทั้งปวง, พระอวโลกิเตศวรแทนเมตตาของพระพุทธเจ้าทั้งปวง และพระวัชรปาณีปกป้องและแทนพลังอำนาจของพระพุทธเจ้าทั้งปวง และปัญจตถาคต พระวัชรปาณีเป็นหนึ่งในธรรมปาละ (ธรรมบาล) ตามคติมหายาน รวมถึงปรากฏเป็นเทวดาในพระไตรปิฎกภาษาบาลีตามคติเถรวาท นอกจากนี้ยังปรากฏการบูชาในสังฆารามเส้าหลิน, พุทธแบบทิเบต และนิกายสุขาวดี โดยทั่วไปมักพบพระวัชรปาณีในฐานะผู้พิทักษ์ธรรม (ธรรมบาล) ในสังฆารามของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ประดิษฐานตามประตูทางเข้าออกของวัด นอกจากนี้ยังปรากฏการเกี่ยวข้องกับพระอจละ ในฐานะผู้ถือวัชระ พระวัชรปาณีในรูปมนุษย์มักแสดงในรูปถือวัชระในมือขวา บางครั้งปรากฏเรียกว่าพระฌานิโพธิสัตว์ ซึ่งเทียบเท่าพระอักโษกภัย พระฌานิพุทธะองค์ที่สอง ส่วนปางปรากฏในรูปพระอาจารย-วัชรปาณี (Acharya-Vajrapani) เป็นปางหลัก ซึ่งเป็นพระวัชรปาณีในฐานะธรรมบาล (ผู้ปกป้องธรรม) โดยทั่วไปปางนี้มักแสดงดวงตาที่สาม, ฆัณฏา (กระดิ่ง) และ ปาศ (บ่วง) บางครั้งปรากฏในรูปพระนิลัมพร-วัชรปาณี (Nilambara-Vajrapani) ในรูปยิดัม หนึ่งศีรษะและสี่มือ ถือวัชระ และย่ำบนตัวบุคคลที่นอนบนงู ส่วนพระมหาจักร-วัชรปาณี (Mahacakra-Vajrapani) มักแสดงในรูปยิดัมเช่นกัน…
-
พระจันทรประภาโพธิสัตว์
จันทรประภา (แปลว่า ’แสงสว่างแห่งพระจันทร์’, Chinese: 月光菩薩; pinyin: Yuèguāng Púsà; โรมาจิ: Gakkō หรือ Gekkō Bosatsu) คือพระโพธิสัตว์ในคติพระพุทธศาสนาแบบมหายานและมหายาน เป็นพระโพธิสัตว์อันทรงทรงคุณดังผู้รักษาพระจันทร์ โดยทั่วไปพระองค์ได้รับการนับถือว่าเป็นพระอัครสาวกของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าคู่กับพระสุริยประภาโพธิสัตว์ พระองค์มักปรากฏพร้อมด้วยพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าและพระสุริยประภาโพธิสัตว์ตามคติการบูชาแบบตรีเทพตามคติตรีเอกานุภาพ และพระองค์ได้รับการนับถือว่าเป็นหนึ่งในเทพยดาผู้รักษาพระจันทร์และเป็นประธานในพิธีไหว้พระจันทร์ของเทศกาลไหว้พระจันทร์ของชาวพุทธในเอเชียตะวันออก ที่มาของพระโพธิสัตว์แสงจันทร์มี 3 แหล่ง คือ ที่มา Wikipedia
-
พระสุริยประภาโพธิสัตว์
สุริยประภา (แปลว่า ’แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์’, Chinese: 日光菩薩; pinyin: Rìguāng Púsà; โรมาจิ: Nikkō Bosatsu) คือพระโพธิสัตว์ในคติพระพุทธศาสนาแบบมหายานและมหายาน เป็นพระโพธิสัตว์อันทรงทรงคุณดังผู้รักษาพระอาทิตย์ โดยทั่วไปพระองค์ได้รับการนับถือว่าเป็นพระอัครสาวกของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าคู่กับพระจันทรประภาโพธิสัตว์ พระองค์มักปรากฏพร้อมด้วยพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าและพระจันทรประภาโพธิสัตว์ตามคติการบูชาแบบตรีเทพตามคติตรีเอกานุภาพ และพระองค์ได้รับการนับถือว่าเป็นหนึ่งในเทพยดาผู้รักษาพระอาทิตย์และเป็นประธานในพิธีไหว้พระอาทิตย์ของเทศกาลไหว้พระอาทิตย์ของชาวพุทธในเอเชียตะวันออกและทรงได้รับการบูชาเป็นหนึ่งในเทพธรรมบาล 24 พระองค์ด้วย ต้นกำเนิดทางจีน “พระโพธิสัตว์แห่งแสงตะวัน” พระโพธิสัตว์แสงตะวัน พระโพธิสัตว์แสงจันทร์ และพระโอสถมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ในอดีตอันไกลโพ้น พระตถาคตแห่งสายฟ้าเสด็จมาสู่โลก ขณะนั้นมีวาติกันคนหนึ่งซึ่งมีบุตรชายสองคน สร้างโพธิจิตและปฏิญาณว่าจะรักษาสัตว์ป่วยและทุกข์ทรมาน ขณะนั้น เดียนกวง ตถาคตชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก และแนะนำให้วาติกันเปลี่ยนชื่อเป็นราชาแห่งการแพทย์ และให้โอรสทั้งสองเป็นรือเฉาและเยว่จ้าว พระพรหมองค์นี้ซึ่งพระตถาคตแห่งแสงสายฟ้าได้สั่งสอนแล้ว ได้กลายเป็นพระโอสถภายหลังที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้า ทายาททั้งสองเป็นผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่สองคน: พระโพธิสัตว์แสงตะวัน และพระโพธิสัตว์แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ในขณะนั้นกลายเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ส่องแสงตะวัน และแสงจันทร์กลายเป็นพระโพธิสัตว์แสงจันทร์ในเวลาต่อมา พระนามของพระโพธิสัตว์แสงตะวัน แปลว่า “ดวงอาทิตย์เปล่งรัศมีนับพัน ส่องสว่างโลก และทะลุความมืดมน” “ปรมาจารย์พระสูตร” กล่าวว่า “ในประเทศของเขา มีพระโพธิสัตว์มหาสัตว์อยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ที่ส่องแสงสุกใส และอีกองค์หนึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ที่ส่องแสงสุกใสเป็นองค์แรกในบรรดาพระโพธิสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วน” ในบรรดาบริวารของพระโพธิสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วน พระโพธิสัตว์แสงตะวัน และพระโพธิสัตว์แสงจันทร์ ถือเป็นพระโพธิสัตว์ที่สำคัญที่สุด…
-
ท้าวธตรฐ
ท้าวธตรฐ (บาลี: Dhataraṭṭha; สันสกฤต: Dhṛtarāṣṭra) เป็นหนึ่งในสี่จาตุมหาราช เจ้าแห่งคนธรรพ์ ผู้ปกครองทิศตะวันออก ฤดูร้อน ธาตุไฟ ทรงพิณเป็นสัญลักษณ์ ที่มา Wikipedia
-
ท้าววิรูปักษ์
ท้าววิรูปักษ์ เป็นหนึ่งในสี่จาตุมหาราชผู้ปกครองทิศตะวันตก และเป็นเจ้าแห่งนาคทั้งปวง (ทรงเป็นเทวดาที่เป็นเจ้าแห่งนาค มิใช่เผ่าพันธุ์นาคแต่อย่างใด) นอกจากนี้ยังมีกล่าวถึงในขันธปริตร (โบราณเรียกพระปริตรกันงู) บทสวดเจ็ดตำนาน สวดเพื่อให้สวัสดิภาพจากพวกสัตว์มีพิษทั้งหลาย เพราะท้าวมหาราชพระองค์นี้ทรงมีนาคเป็นบริวาร พระสงฆ์นิกายมหายานของจีนกล่าวว่า “ดวงตาที่เบิกกว้าง” กษัตริย์ซีซุนสามารถสังเกตโลกสามพันโลกได้ตลอดเวลาด้วยดวงตาที่บริสุทธิ์ของเขา และปกป้องสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่าราชาแห่งดวงตาที่เบิกกว้าง ตามทางตะวันตกของภูเขาพระสุเมรุ รูปปั้นตะวันตกของผู้พิทักษ์ร่างกายสากลของ Guangmu Tianwang มักพบเห็นในวัดมหายานของจีน รูปปั้นนี้มีลำตัวสีแดงและสวมชุดเกราะ รูปปั้นนี้มีมังกร Chi (หรือที่เรียกว่า Chisuo ในบางพื้นที่) อยู่ในมือ มีภาพสากลมากมายของกษัตริย์สวรรค์ตะวันตกองค์นี้ มีบันทึกไว้ใน Dharani Collection Sutra ว่าเขาถือ shuò ในมือซ้าย และเชือกสีแดงในมือขวาของเขา ส่วนที่เหลือก็เหมือนกับภาพจากสวรรค์ พระเจ้าดริตา. ใน “ร่างของกษัตริย์ผู้ประเสริฐทั้งสิบหกองค์ที่ได้รับการปกป้องโดยปรัชญา” กวงมู่มีร่างกายสีแดง แขนสองข้างข้างหนึ่ง ดวงตากลมโตและยื่นออกมา สวมหมวกมังกรบนหัว และชุดเกราะ [ไค] มังกรอยู่ในพระหัตถ์ขวาและถือหอคอยไว้ในพระหัตถ์ซ้าย ในจักรวาลแห่งดินแดนอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีหน้าที่เฝ้าประตูทิศตะวันตก และพระเจ้าทรงมีความรัก เนื่องจากแปลงร่างเป็นนกปีกทองจึงสามารถปราบราชามังกรได้ ดังนั้น การจับมังกรทางขวามือจึงหมายถึงอากาศดีและอากาศดี เขามีร่างกายสีแดง สวมชุดเกราะ…
-
ท้าววิรุฬหก
ท้าววิรุฬหก (บาลี: Viruḷhaka; สันสกฤต: विरूढक) เป็นท้าวมหาราชผู้ปกครองเหล่ากุมภัณฑ์ และเป็นโลกบาลผู้ปกครองทิศใต้ ในมหาสมัยสูตรและบทภาณยักษ์ว่า โลกบาลแห่งทิศทักษิณทรงพระนามท้าววิรุฬหกมหาราช จอมกุมภัณฑ์ ส่วนในอาฏานาฏิยปริตรว่าเป็นจอมเทวดา ลัทธิข้างจีนฝ่ายมหายานว่า ทรงพระนามเตียงเชียง แปลว่า สง่างาม มือถือร่ม ทางทิเบตว่าถือกระบี่ ทรงเป็นผู้ปกป้องพระพุทธศาสนา หนึ่งใน “สี่กษัตริย์แห่งสวรรค์” และกษัตริย์สวรรค์องค์ที่ 5 ในบรรดา “สวรรค์ทั้ง 20” “เจริญ” หมายถึง สามารถสั่งสอนสัตว์ มีรากที่ดี และรักษาธรรมได้ เขาอาศัยอยู่ที่ Liulikuntu บนภูเขา Xumi เขามีสีฟ้าและสวมชุดเกราะ ราชาแห่งการเติบโตคือกษัตริย์จิ่วปันถู [1] โดยมีจิ่วปันถู, ซีลี่ตัวต้ว ฯลฯ เป็นผู้อยู่ในความอุปการะของเขา ที่มา Wikipedia
-
ท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์
พระอินทร์ ราชาผู้ครองสวรรค์ ศาสนาพราหมณ์ หรือ ศาสนาฮินดู แต่โบราณจะนับถือ พระอินทร์ ให้เป็นใหญ่สูงสุด พระอินทร์ถือได้ว่าคือเทพเจ้าองค์แรกสุดของศาสนาพราหมณ์ฮินดูก็ว่าได้ จนในปัจจุบัน การบูชาพระอินทร์ก็ยังมีอยู่ในหมู่ผู้ศรัทธาทั่วไป เพียงแต่ถูกลดบทบาทลงทั้งในศาสนาฮินดู ที่ยกย่อง พระพรหม พระวิษณุ (พระนารายณ์) และ พระศิวะ (พระอิศวร) ขึ้นเป็นใหญ่แทน เมื่อโบราณ พระอินทร์ ถือว่ามีอานุภาพสูงที่สุดในบรรดาเทพทั้งปวง สามารถดลบันดาลให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆได้ เช่น บันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาล ให้พืชพรรณงอกงาม เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดี และยังเป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุดในการบันดาลให้เกิดภัยทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นฝนตกหนัก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า น้ำท่วม พายุอันรุนแรง ฯลฯ พระอินทร์ มี วัชระ หรือ สายฟ้า เป็นศาสตราวุธคู่กาย วัชระนี้สามารถสร้างสายฝนและฟ้าผ่า ฟ้าร้องได้ เป็นศาสตราวุธของเทพเจ้าที่ทรงอำนาจเป็นอย่างมาก สามารถผ่ามหาสมุทรได้ สามารถผ่าภูเขาได้ สามารถผ่าท้องฟ้าได้ พระวรกายของพระอินทร์นั้นมีสีเหลืองทอง กระจ่างสดใส อีกตำราก็ว่าพระอินทร์มีผิวสีแดงเข้ม สวมอาภรณ์อย่างสวยสดงดงาม ดูสะอาดสะอ้าน มีงูเป็นสร้อย สวมเครื่องประดับเพชรนิลจินดามากมาย เช่น…
-
ท้าวเวสสุวรรณ
ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท่านท้าวกุเวร นั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือ คทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ย อีกด้วย กล่าวกันว่า ผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือ มีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัย จากวิญญาณร้าย ที่จะเข้ามา เบียดเบียน ในภายหลัง ภาพลักษณ์ของท้าวกุเวร ที่ปรากฎในรูปของชายพุงพลุ้ย เป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่า เป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งมาในรูปของยักษ์ เป็นที่เคารพ นับถือว่า เป็นเครื่องราง ของขลัง ป้องกัน ภูติผีปีศาจ “สารานุกรมไทย” ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439 กล่าวถึง ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์…
-
พญาครุฑ
เทพพาหนะแห่งพระวิษณุ พญาครุฑ : เทพพาหนะ หนังสือ : ตรีมูรติ อภิมหาเทพของฮินดูโดย : อรุณศักดิ์ กิ่งมณี คัมภีร์ปุราณะของฮินดูเล่าถึงกำเนิดพญาครุฑไว้ว่า ครั้งหนึ่งพระทักษะปชาบดีได้ยกสิบสามนางให้พระกัศยปเทพบิดร (Kasyapa) ซึ่งธิดาสององค์ คือนางวินตา (Vinta) และนางกัทรุ (Kadru) แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน โดยนางกัทรุขอพรจากพระกัศยปให้มีบุตรเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตาขอพรให้มีบุตรเพียงสององค์ แต่ให้มีฤทธิ์อำนาจมากกว่าบุตรของนางกัทรุ นางกัทรุคลอดลูกออกมาเป็นไข่หนึ่งพันฟอง เมื่อเวลาผ่านไปห้าร้อยปีกก็บังเกิดเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตา คลอดลูกเป็นไข่สองฟอง หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานไข่ก็ยังไม่ฟักเป็นตัว นางวินตาจึงทุบไข่ใบแรกปรากฏเป็นเทพมีเพียงครึ่งองค์ ไม่มีท่อนล่าง เนื่องจากเกิดก่อนกำหนดนามว่า อรุณเทพบุตร พระอรุณโกรธนางวินตา ที่ทำให้ตนพิการ จึงสาปให้ต้องไปเป็นทาสนางกัทรุเป็นเวลาห้าร้อยปี แต่ก็บรรเทาคำสาปว่า หากนางวินตาสามารถทนรอไปอีกห้าร้อยปีจนไข่อีกฟองหนึ่งฟักเป็นตัว บุตรในไข่ใบที่สองจะช่วยนางให้พ้นคำสาป ต่อมานางวินตา และนางกัทรุแข่งพนันทายสีม้าเทียมรถทรงของพระอาทิตย์ โดยมีข้อแม้ว่าหากผู้ใดแพ้ต้องยอมเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่ง นางกัทรุใช้อุบายให้นาคผู้เป็นลูกเข้าไปแทรกอยู่ในรถขนม้า เพื่อให้สีเปลี่ยนไป นางวินตาจึงแพ้พนัน กลายเป็นทาสของนางกัทรุ หลังจากนั้นอีกห้าร้อยปี ไข่ใบที่สองก็แตกออกมาเป็นบุตรผู้มีกำลังมหาศาล มีรัศมีทองสว่างไสวกว่าพระอาทิตย์นับร้อยเท่า มีศีรษะจงอยปาก และปีกเหมือนนกอินทรี แต่ร่างกายและแขนขาเหมือนมนุษย์มีนามว่า “เวนไตย” (แปลว่า เกิดจากนางวินตา เมื่อพญาเวนไตยเติบโตขึ้น ทราบว่ามารดาตนต้องเป็นทาสของกัทรุเพราะแพ้อุบาย…