พระขันทกุมาร

พระขันทกุมาร มหาเทพนักรบแห่งสวรรค์

พระขันทกุมาร มหาเทพองค์นี้มีชื่อใกล้มาทางฝ่ายไทย และมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระพิฆเนศ ในอินเดียเรียกพระขันทกุมารนี้ว่า สกันทะ (ผู้โลดเต้น ผู้ทำลาย) , กรรตติเกยะ (บางแห่งเขียนว่า การัตติเกยะ) อินเดียตอนใต้เรียก สุพราหมัณเย ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือมาก

ตามหมู่บ้านทั้งหลายในอินเดีย จึงนิยมตั้งศาลสักการะบูชาพระขันธกุมารกันแทบทุกหมู่บ้าน

พระขันธกุมาร (ขันทกุมาร) เป็นโอรสของ พระศิวะเทพ กับ พระนางปราวตี (พระแม่อุมา) เกิดจากน้ำเชื้อของพระศิวะมหาเทพ ที่ร่วงหล่มลงพื้นธรณี จนยากที่จะพิสูจน์ว่าพระพิฆเนศกับพระขันธกุมารใครเป็นพี่เป็นน้อง

ในวรรณคดีโบราณ เช่น โองการแช่งน้ำ แม้จะมิได้ขานพระนามของพระขันธกุมารโดยตรง แต่ก็มีคำที่ว่า “ขุนกล้าขี่นกยูง” ปรากฎความอยู่

“ขุนกล้า” ในโองการแช่งน้ำนั้นหมายถึง พระขันธกุมารนั่นเอง ด้วยมีสัตว์พาหนะเป็นนกยูงที่ชื่อ ปรวาณี (ก่อนนั้นเป็นปัทมาอสูร)

พระขันธ์กุมาร เทพเจ้าแห่งนักรบ บุตรแห่งพระศิวะและพระแม่อุมามหาเทวี

เทวกำเนิดของ พระขันทกุมาร นั้น มีไม่มากเหมือนเทพเจ้าองค์อื่นๆ กล่าวกันว่า พระขันทกุมารนี้เป็นหนุ่มรูปงาม มี 6 พักตร์ (บางแห่งวาดเป็นพระพักตร์เดียว) และมี 12 กร ผิวพรรณนั้นงดงามดั่งจันทร์คืนเพ็ญ แต่สง่างามดุจพระสุริยะเทพ

การกำเนิดของพระขันทกุมารนั้นก็เพื่อปราบอสูรที่ชื่อ ตาระกาสูร เป็นกษัตริย์แห่งแคว้นตรีปุระ อสูรตนนี้มีตบะแรงกล้ามาก สามารถบำเพ็ญฌานบารมีจนร้อนไปถึงพรหมโลก ทำให้จักรวาลสั่นสะเทือนโกลาหลไปหมด กษัตริย์อสูรตนนี้ไม่เกรงพระบารมีของมหาเทพผู้สร้าง (พระพรหม) คิดว่าตนเองก็เป็นหนึ่งเหมือนกัน

การบำเพ็ญฌานบารมีนั้นทำให้ พระพรหม ทนความร้อนไม่ไหว ต้องเสด็จมาประทานพรตามที่อสูรปรารถนา เหตุที่บอกว่าอสูรตาระกามีตบะแรงกล้านั้น เพราะได้ทำสมาธิอย่างเข้มงวดเป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปีสวรรค์ ทำให้พรที่อสูรตนนี้ขอไว้กับพระพรหมคือขอให้มีชีวิตเป็นอมตะ แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดในตรีภพเทียบได้ และไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้นอกเสียจากโอรสของพระศิวะเทพ ที่ขอพรไปเช่นนั้นเพราะล่วงรู้ว่าขณะนั้นพระศิวะกับพระแม่อุมาเทวียังไม่มีโอรสด้วยกันเลย

เมื่อตาระกาสูรได้รับพรจากพระพรหมแล้ว ก็เริ่มออกอาละวาดในจักรวาลทันที!! เริ่มต้นด้วยการยึดเอาวิมานและกวาดเอาทรัพย์สินของพระอินทร์ไปจนหมด บังคับให้พระฤาษีมอบ โคกามเกนุ ซึ่งเป็นโคที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถบันดาลให้เจ้าของได้ทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากนี้ยังเปลี่ยนกฎเกณฑ์ธรรมชาติจนวุ่นวายไปหมด เช่น บังคับให้พระอาทิตย์ดับแสงและไร้ซึ่งความร้อน บังคับให้พระจันทร์ลอยค้างอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา บังคับลมให้พัดโหม หรือเปลี่ยนทิศทางได้ตามคำสั่งของอสูรตาระกา ยังผลให้โลกเดือดร้อนวุ่นวายมาก

ฝ่ายเทวดาทั้งหลายอันมี พระวิษณุเทพ เป็นใหญ่นั้น ได้เสด็จไปยังพระทวารที่ประทับชั้นในของพระศิวะเทพ และร่วมกันเปล่งคำสรรเสริญในพระบารมีแห่งมหาเทวะ คราวนั้นถึงกับทำให้พระศิวะต้องทรงผละพระวรกายปรากฎกายต่อเบื้องหน้าเทพทั้งหลาย พระองค์ทรงเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองระทมทุกข์ของเทวดาจึงได้ถามว่าเพราะเหตุอันใด

ฝ่ายวิษณุเทพเล่าเรื่องราวของอสูรตาระกาว่าได้พรจากพระพรหมให้มีชีวิตอมตะไม่มีใครสังหารได้นอกจากโอรสของพระศิวะเท่านั้น ฝ่ายเทพทั้งหลายจึงรอการประสูติของโอรสแห่งพระศิวะอยู่นานนับพันปี จึงได้มาเข้าเฝ้าเพื่อขอพึ่งบารมี

ครานั้น พระศิวะมหาเทพ ได้ทรงแบ่งน้ำเชื้อที่มีความร้อน เหมือนไฟแห่งการทำลายล้างออกมาหยดหนึ่งร่วงลงสู่พื้นดิน ด้วยความรีบร้อน พระอัคนี ได้รีบแปลงกายเป็นนกเขา กลืนเอาน้ำเชื้อนั้นเข้าไป ความร้อนแรงแห่งน้ำเชื้อนั้นทำให้พระอัคนีร้อนรนจนทนไม่ได้ พระศิวะแนะนำให้เอาน้ำเชื้อนั้นไปใส่ในครรภ์ของผู้หญิงแทน และต้องใส่ในครรภ์ของหญิงซึ่งได้อาบน้ำในวันแรกของเช้าตรู่เดือนมาฆะ

ในวันนั้น บรรดาภริยาของฤาษีทั้ง 7 ตนได้มาอาบน้ำ ปรากฎว่า ภริยาทั้ง 6 คน (เหลือเพียงคนเดียว) ที่ลงอาบน้ำนั้นถูกน้ำเชื้อที่นกเขาคายไว้ ซึมแทรกเข้าไปตามรูขุมขน นางทั้งหกจึงร้อนรนทุกข์ทรมานมาก นางทั้งหกได้ถูกเหล่าฤาษีขับไล่ออกจากอาศรม จึงได้ตัดสินใจทำลายน้ำเชื้อที่เป็นตัวอ่อนทิ้ง ด้วยพลังแห่งโยคะที่เทือกเขาหิมาลัย เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทรมาน ด้วยการเหวี่ยงตัวอ่อนลงไปที่แม่น้ำคงคา เช่นเดียวกับ พระแม่คงคา ที่ได้เหวี่ยงเอาตัวอ่อนนี้ขึ้นไปที่พงหญ้า เสมือนการชุบตัวจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้ปรากฎทารกน้อยขึ้นตนหนึ่งที่พงหญ้านั้น

พระพรหมทรงรู้ด้วยญาณว่า โอรสแห่งพระศิวะเทพได้ถือกำเนิดแล้ว จึงบัญชาให้พระฤาษีวิศวามิตรไปประกอบพิธีให้กับโอรสน้อยแห่งศิวะเทพ ทารกนี้พูดได้ตั้งแต่ยังแบเบาะว่า “ด้วยประสงค์ของพระศิวะเทพที่ส่งท่านมายังที่นี้ ขอให้ท่านฤาษีจงประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อชำระร่างกายของข้า ให้บริสุทธิ์ตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้เถิด”

ข้างฝ่ายพระอัคนีที่เคยอุ้มน้ำเชื้อไว้ เมื่อสมัยจำแลงกายเป็นนกเขานั้น ได้เดินทางมายังที่แห่งนี้ด้วย และมอบคฑาศักดิ์สิทธิ์ถวายให้กับพระองค์ ทันทีที่ได้รับอาวุธ พระขันทกุมารก็เหาะขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เพื่อพิสูจน์พลังอำนาจแห่งตน ด้วยการใช้คฑานั้นฟาด จนภูเขาถล่มทลายลงในพริบตา ทันทีที่ยอดเขานั้นแยกออก ได้ปรากฎปิศาจ 10 โกฏิตนออกมาก แต่ก็ถูกพระองค์สังหารจนสิ้น

ต่อมา นางกฤตติกา (กลุ่มดาวทั้ง 6 ดวง) ได้ลงมาอาบน้ำ เห็นกุมารน้อยนอนอยู่ที่กอหญ้า ก็บังเกิดความรักใคร่ นำเอากุมารไปเลี้ยงดูในดินแดนของนางทั้งหก และเพื่อไม่ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในหมู่แม่นมทั้งหลาย พระกุมารจึงได้แยกร่างออกเป็น 6 พระองค์ (บางตำนานบอกว่ามี 6 พระพักตร์ในร่างเดียว) ด้วยเหตุที่เป็นลูกที่รักยิ่งของนางการัตตี พระองค์จึงได้ชื่อว่้า พระการัตตีเกยะ (Kaitikeya)

ขณะเดียวกันนั้น ได้เกิดเหตุประหลาดกับพระนางปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) คือมีน้ำนมไหลออกจากเต้านมทั้งสองข้าง นางจึงได้ถามเรื่องน้ำเชื้อที่หล่นบนผืนดินกับพระศิวะ เพราะนางเข้าใจว่า เหตุที่น้ำนมของนางซึ่งไหลอยู่นี้ ชะรอยว่าโอรสจะถือกำเนิดแล้ว แต่อยู่ที่ผู้ใดหรือแห่งหนใดกันเล่า พระศิวะจึงมีโองการให้ผู้ครอบครองกุมารรีบเอามาคืนด่วน มิฉะนั้นจะรับโทษหนัก

พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี จึงเริ่มตรวจสอบถามความจริงในหมู่เทพ เริ่มจากพระพรหม ติดตามความไล่หาจนมาถึงกลุ่มดาวทั้งหก

พระศิวะเทพยินดีมาก ที่นางทั้งหกได้ดูแลโอรสของพระองค์เป็นอย่างดี จึงส่งคณะเทพบริวารไปทูลเชิญกุมารกลับเขาไกรลาส ในวันเสด็จกลับนั้น พระนางปราวตีได้จัดส่งราชรถที่สร้างโดยพระวิศวกรรมไปรับ โดยพระโอรสเสด็จกลับพร้อมกับนนทิเกศวร และพระแม่กฤตติกา เมื่อราชรถถึงเขาไกรลาส เทพเทวดาทุกชั้นฟ้าเสด็จมาอำนวยชัย ประโคมดนตรีเป่าสังข์ ต้อนรับกันอย่างเอิกเกริก มีการนำหม้อน้ำหลายร้อยใบที่บรรจุแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ มาชำระร่างกายให้กับกุมาร และเหล่าเทพได้มอบสิ่งของให้ดังนี้…

พระวิษณุเทพ มอบมงกุฎและเครื่องประดับเพชรพลอย
พระศิวะเทพ พระบิดา มอบตรีศูล คันศร ลูกศร พินาค ขวาน ปาศุปัต
พระพรหมเทพ มอบด้ายสายสิญจน์ หม้อน้ำมัณฑลุ ลูกธนูพรหมศาสตร์และยุทธศาสตร์ในการทำลายศัตรู พร้อมด้วยมนต์คายตรี
พระอินทร์ มอบช้าง อสุนีบาต
พระวรุณ มอบภาชนะใส่น้ำอมฤต
ท้าวกุเบร (ท้าวกุเวร) มอบไม้อาญาสิทธิ์
กามเทพ มอบลูกธนูแห่งรักและปรารถนา
มหาสมุทรน้ำนม มอบเพชรพลอย กำไลข้อเท้า
พญาครุฑ มอบโอรส คือ พระจิตพรหัณ ให้รับใช้
พระอรุณ มอบไก่แจ้ตามรจูฑ
พระนางปารวตี หรือ พระแม่อุมาเทวี พระมารดา มอบพลังอำนาจ
พระลักษมี มอบทรัพย์สมบัติของล้ำค่า
พระสรัสวดี มอบสิทธิวิทยา ความรู้อันสูงสุดแห่งโยคะ

พระขันทกุมารก็เสด็จไปเป็นผู้ปราบตาระกาสูร อสูรที่กล่าวมาเมื่อตอนต้นนั่นเอง

พระขันธกุมารมีพระชายา 2 พระองค์ เท่ากับพระพิฆเนศ คือ พระนางเทวเสนา และ นางวัลลี ซึ่งเป็นเจ้าหญิงของชาวลังกา พิธีแต่งงานมีขึ้นที่นิมฝั่งแม่น้ำมานิก ต่อมานิคมแห่งนี้เรียกว่า กรรตติเกยะคาม ดังนั้น คนพื้นเมืองแถบนี้จึงนับถือพระขันธกุมารและยางวัลลรเป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน

ในอินเดียนั้นมีพิธีบูชาพระขันธกุมาร ในวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 (จิตรมาส) พิธีนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โลหะอภินิหาร ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระองค์โดยตรงในฐานะที่พระองค์เป็นชาตินักรบมาตั้งแต่เยาว์วัย

พระขันทกุมาร มีพระนามเรียกมากมาย เช่น
มหาเสนา (เทพเจ้าแห่งสงคราม) ชาวไทยนำคำนี้มาใช้เป็นชื่อตำแหน่งทางการทหาร
เสนาบดี (เป็นใหญ่ในหมู่นักรบ) ชาวไทยนำคำนี้มาใช้เป็นชื่อตำแหน่งทางการทหาร
สิทธิเสนา, ตารกชิต, ทวาทศกร, ทวาศากย์, สกันทะ, การติเกยะ, สุพราหมัณย เป็นต้น

คัดมาจากหนังสือ : มหาเทพแห่งความสำเร็จ พระพิฆเนศ
โดย : ฑิภากร บารเมษฐ์ / สำนักพิมพ์สยามความรู้
/ สยามคเณศ

พระเวทโพธิสัตว์ (อุ่ยท้อผ่อสัก) 

พระเวทโพธิสัตว์ เป็นเทพธรรมบาลผู้ปกป้องพุทธศาสนาตามความเชื่อของชาวพุทธมหายานในจีน ตรงกับพระขันธกุมารของศาสนาฮินดู มีหน้าที่กำราบผู้จะทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย คอยดูแลวัดวาอารามต่างๆ ลักษณะของพระองค์จะแต่งกายแบบนักรบจีน ในมือถือคทา โดยในสมัยโบราณ ผู้เดินทางที่จะไปค้างคืนตามวัดจะสังเกตรูปปั้นของพระเวทโพธิสัตว์ในวัดว่าถือคทาอย่างไร ถ้าถือไว้ในมือหรือประนมมือแสดงว่าอนุญาตให้เข้าพักได้ แต่ถ้าถือจรดพื้นแสดงว่าไม่อนุญาตให้เข้าพัก

ในคัมภีร์ปัจจุบันสมัยภัทรกัลป์สหัสพุทธนามสูตร ได้ระบุว่าพระเวทโพธิสัตว์จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายในกัปป์ปัจจุบันคือภัทรกัปปป์ มีพระนามเมื่อตรัสรู้แล้วว่า พระรุจิพุทธเจ้า

พระขันธกุมาร แห่งวัดซวงหลิน

หนึ่งในงานพุทธปฏิมา ได้รับการยกย่องว่างามเป็นเลิศในวัดซวงหลิน (วัดป่าสาละคู่) มรดกโลกทางวัฒนธรรม คู่กับเมืองโบราณผิงหยาว ภาคกลางของมณฑลซานซี ภาคเหนือของจีน มีหลายองค์

หนึ่งในจำนวนนั้นคือ ผลงานการแกะสลักพระขันธกุมาร หรือ พระสกันธโพธิสัตว์ 韦驮尊天菩萨像 Skanda อันงดงาม แฝงไว้ด้วยความดุดัน ในอิริยาบถที่เปี่ยมด้วยพลัง ใบหน้าถมึงทึง ลายเส้นและภูษาภรณ์แบบขุนพลจีน พระหัตถ์ซ้ายง้างโค้งอย่างได้อย่างสัดส่วน พระหัตถ์ขวาชำรุดเสียหายบางส่วน หากไม่ชำรุดน่าจะถือกระบองวัชระปักลงพื้น แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ครบถ้วน หากแต่ได้รับการยกย่องให้เป็นเลิศในแผ่นดิน

พระขันธกุมารองค์นี้ ประดิษฐานอยู่ข้างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปางมหาราชลีลา ภายในพระวิหารสหัสพุทธ – เชียนฝอเตี้ยน 千佛殿 อยู่ด้านซ้ายของรัตนมหาวิหารชาตรี ภายในวัดซวงหลิน เป็นศิลปกรรมสมัยราชวงศ์หมิง อายุประมาณ ๖๐๐ ปี ที่ยังคงอนุรักษ์พุทธปฏิมาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม

พระขันธกุมาร รวมทั้งจตุมหาโลกบาล ล้วนเป็นเหล่าเทพธรรมธาดาของพุทธศาสนา มีหน้าที่คอยรักษาปกปักพระอารามและพระศาสนา พระขันธกุมารเป็น ๑ ใน ๘ ขุนพล ภายใต้การบังคับบัญชาของท้าวธฤตราษฎร์ ผู้อารักษาประจำทิศใต้

ตามพุทธสูตรกล่าวว่า พระศาสดาเคยมีรับสั่งให้ขันธกุมารมีหน้าที่อารักขาบรรพชิต พิทักษ์พุทธาราม พระขันธกุมารเป็น “ดาราฝีเท้าลมกรด” ของพุทธอาณาจักร มีฝีเท้ารวดเร็ว

ตามตำนานพุทธศาสนากล่าวว่า ภายหลังการประชุมเพลิงพระศพของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มีปีศาจเท้าไวตนหนึ่ง มาลักขโมยพระเขี้ยวแก้วของพระองค์ไปสององค์ เมื่อพระขันธกุมารทราบเหตุ จึงวิ่งไล่ตาม ปีศาจแม้จะได้พระเขี้ยวแก้วไป แต่ฝีเท้าไวสู้พระขันธกุมารไม่ได้ ถูกพระขันธกุมารจับตัวได้ในที่สุด

เมื่อพระขันธกุมารได้พระเขี้ยวแก้วคืนมาแล้ว นับเป็นความดีความชอบครั้งสำคัญ ดังนั้น จึงได้รับหน้าที่เป็นผู้อารักขาหลุมศพของพระพุทธเจ้า คอยป้องกันไม่ให้โจรมาขุดทำลายพระศพ

พระขันธกุมารจากอินเดียเข้าสู่จีน แล้วได้กลายเป็นขุนศึกแบบจีน โดยทั่วไปจะมีสองอิริยาบถ อิริยาบถหนึ่งคือ ยืนพนมมือ กระบองวัชระพาดขวางอยู่บนแขน อีกอิริยาบถหนึ่งคือ มือถือกระบองวัชระตั้งอยู่กับพื้น อีกเมืองหนึ่งเท้าสะเอว

อิริยาบถแรกหมายถึง ยินดีต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยือนสามารถเข้าไปพำนักพักพิงในอารามได้ ส่วนอิริยาบถที่สอง ก็แสดงว่าเป็นวัดที่ไม่ต้อนรับคนภายนอก อย่าถือวิสาสะเข้าไปก่อนได้รับการอนุญาต เพราะจะถูกขับออกมา

โดยปกติจะประดิษฐานอยู่ด้านหลังพระเมตไตรย์โพธิสัตว์ หันหน้าเข้าสู่รัตนมหาวิหารชาตรี (ต้าสงเป่าเตี้ยน) เพื่อพิทักษ์พุทธอารามและบวรพุทธศาสนา

Cr: Pariwat Chanthorn

เหตุแห่งความโกรธของพระเวทโพธิสัตว์

ตำนานแห่งจิ่วหัวซานหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นที่กล่าวขานจนปัจจุบัน

ในสมัยราชวงศ์ซ่ง มีฮูหยินท่านหนึ่งได้ไปบนบานต่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ให้ลูกชายของนาง สอบติดจอ หงวน จากนั้นไม่นานลูกของนางก็สอบติดอย่างเกินคาดฝัน ฮูหยินจึงพาลูกชายไปนมัสการพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ที่จิ่วหัวซาน แต่ลูกชายนางชั่งมีนิสัยกระด้าง ขี้แกล้ง แต่ก็หาประวัติของพระตี้จั้งมาอ่าน เพื่อศึกษาข้อมูลคร่าวๆ ก่อนตามแม่ไปแก้บน

เมื่อไปถึงจิ่วหัวซาน จอหงวนลูกชาย จึงคิดแผนการแกล้งแม่ของตน ขณะที่แม่นั้นก้มลงกราบ ลูกชายจึงเอามือตวัดปิ่นทองที่ปักมวยผมจนกระเด็นไปตกที่ระหว่างเท้าของรูปปั้นพระกษิติครรภ์ ในขณะนั้น มีช้างปรากฏออกโดยไม่รู้ว่ามาจากไหน จอหงวนหนุ่มขี้แกล้งตกใจมาก รีบดึงปิ่นทองที่สอดเข้าไประหว่างเท้าของพระรูป แต่กลับดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก จึงเงยหน้ามองพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์แล้วพูดเหมือนตำหนิพระตี้จั้งว่า

“ก็ไหนเขาพูดกันว่าไร้รูปสู่สุญญตา แต่ไฉนจึงมีพุทธะเล่า”

พูดยังไม่ทันขาดคำ ปิ่นทองก็หลุดตามมือออกมาอย่างง่ายดาย พร้อมทั้งคราบเลือดที่หยดตามปิ่นทองนั้นตามออกมาจากปฏิมาแห่งพระกษิติครรภ์

จอหงวนหนุ่มจึงวิ่งหนีด้วยความกลัว ขณะนั้น พระเวทโพธิสัตว์ ได้เห็นเหตุการณ์นี้ตั้งแต่ต้น จึงโกรธจัด จะเข้าไปลงโทษให้สาสมกับความผิดที่ล่วงเกินโพธิสัตว์มหาสัตว์ แต่พระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้กล่าวถึงบุรพกรรมแห่งจอหงวนขี้แกล้งนี้แก่พระเวทโพธิสัตว์ว่า ในอดีตเป็นเพราะมีตัวหมัดได้เกาะอยู่ที่ตัวเขา ด้วยความบังเอิญจึงตบตัวหมัดตายทำให้เขาเป็นคนขี้แกล้ง ในชาตินี้

ฮุ่ยท้อหู้ฝ่า ทรงรับฟังแต่ในจิตก็ขุ่นเคืองอย่างมาก พระตี้จั้งทรงพิจารณาด้วยญาณ แล้วว่าจอหงวนหนุ่มไปได้ไกลพ้นจากจิ่วหัวซานแล้ว 20 ลี้ แล้วพ้นระยะที่พระเวทจะติดตามได้

จึงถามพระฮุ่ยท้อว่า “เธอยังยืนกรานที่จะลงโทษเขาอยู่หรือไม่” เราอนุญาตให้ติดตามเขาเพียง”อู่ลี้”(ห้าลี้)เท่านั้น ถ้าไล่ตามทันเธอจะลงโทษเขาก็แล้วแต่เธอจะลงโทษ แต่ถ้าตามไม่ทันก็ให้อโหสิกรรมต่อกันไป

พระฮุ่ยท้อกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เลยฟังไม่ชัดถ้อยชัดคำ ได้แต่พยักหน้ารับคำ แล้วเร่งตามจอหงวนนั้นไปด้วยกำลังไปจนถึงสถานที่หนึ่งเรียกว่า “อู่ซี”

เมื่อจอหงวนเหลียวหลังมาเห็นพระเวทโพธิสัตว์ก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน จนถูกพระเวทโพธิสัตว์จับได้ พระเวทโพธิสัตว์จึงลงทัณฑ์ผู้มีจิตหยาบกระด้างล่วงเกินโพธิสัตว์มหาสัตว์ ด้วยการใช้พลองทองฟาดที่ศรีษะ ครั้งเดียวจนจอ หงวนถึงแก่มรณะกาล พระเวทจึงกลับไปรายงานพระกษิติครรภ์ ว่าได้ลงโทษจอหงวนนั้นเรียบร้อย

พระกษิติครรภโพธิสัตว์จึงตำหนิท่านแล้วกล่าวว่า เราบอกอู่ลี้ ไม่ใช่อู่ซี เพราะความโกรธนั้นบังหูบังตาของท่าน จึงทำให้ได้ยินเป็นอู่ซี หากโพธิสัตว์มีขันติธรรมไม่เพียงพอ ความวิบัติจึงเกิดขึ้น จากนี้เราขอบัญชาให้ท่านออกจากจิ่วหัวซาน แต่ว่าพุทธสถานจะขาดเสียธรรมบาลมิได้

พระกษิติครรภโพธิสัตว์จึงได้แต่งตั้งเทพองค์หนึ่งนามว่า หลิงกวน ขึ้นมาเป็นธรรมบาลพิทักษ์จิ่วหัวซานแทน แม้ในปัจจุบันนี้ เทพองค์นี้ก็ยังสถิตย์เป็นธรรมบาลหน้าวิหาร” โหย่วเสินเตี้ยน” จนถึงปัจจุบัน

ฝ่ายพระเวทโพธิสัตว์เมื่อออกจากจิ่วหัวซานแล้ว ท่านก็เดินทางไปอีกหลายสถานที่ แต่ทุกสถานที่ต่างหวาดกลัวในอารมณ์อันร้อนแรง โมโหโกธาง่ายของท่าน จึงไม่มีที่ใดยอมรับ จนกระทั่งมาถึงหูโจว ชาวหูโจวจึงเชิญท่านประทับ ณ เมืองหูโจว ด้วยเหตุนี้หูโจวจึงเป็นแดนของพระเวทโพธิสัตว์ (人間道埸) และจึงกลายเป็นวัดชื่ออารามฮุ่ยท้อ

น้อมสำนึกในพระคุณแห่งพระเวทโพธิสัตว์

แปลโดย อี้จู๋หลิน


Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *