ท้าวเวสสุวรรณ

ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท่านท้าวกุเวร นั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือ คทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ย อีกด้วย กล่าวกันว่า ผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือ มีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัย จากวิญญาณร้าย ที่จะเข้ามา เบียดเบียน ในภายหลัง ภาพลักษณ์ของท้าวกุเวร ที่ปรากฎในรูปของชายพุงพลุ้ย เป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่า เป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งมาในรูปของยักษ์ เป็นที่เคารพ นับถือว่า เป็นเครื่องราง ของขลัง ป้องกัน ภูติผีปีศาจ

“สารานุกรมไทย” ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439

กล่าวถึง ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่า ท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬ เรียก กุเวร ว่า กุเปรัน ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของ ทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบก ของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ ผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวร ชื่อ อลกาอยู่ บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่ง ของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า สวนไจตรต หรือ มนทร มีพวกกินนร และคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาล ประจำทิศเหนือ จีน เรียกว่า โต้เหวน หรือ โต้บุ๋น ญี่ปุ่น เรียก พสมอน

ท้าวกุเวรนี้ สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณี กว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑป ชื่อ ภคลวดี กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถาน ของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์ เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน

นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ 200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้ว ประพาฬ หอกทอง

ในศาสนาพุทธนั้น ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุ ทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือมียักษ์เป็นบริวาร คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็ก เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญแก่เด็กว ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหา ราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก ไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่นๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ

ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้งสี่ปกครอง คือ ท้าวธตรัฏฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักชะ และท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) ประจำทิศต่างๆ ทั้งสี่ทิศโดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) เป็นใหญ่ปกครองบริวารทางทิศเหนือ ว่ากันว่าอาณาเขตที่ท้าวเธอดูแลปกครองรับผิดชอบมีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่ (หัวหน้าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ) กว่าท้าวมหาราชองค์อื่น

ท้าวเวสสุวรรณ เป็น เทพแห่งขุมทรัพย์ เป็น มหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูตผีปีศาจทั้งปวง (ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ) นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเวสสุวรรณมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา, ปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นต้น

ท้าวเวสสุวรรณ มีทั้งหมด 4 ภาค

– ท้าวเวสสุวรรณพรหมาสูติเทพ ชั้นพรหม มีรูปกายสีทอง ภูษาสีทอง
– ท้าวเวสสุวรรณเทพบุตรสูติเทพ ชั้นดาวดึงค์ มีรูปกายสีทอง ภูษาสีแดง
– ท้าวเวสสุวรรณ จาตุมมหาราช มีรูปกายสีเขียวหรือดำ ภูษาสีเขียว
– ท้าวเวสสุวรรณ ชั้นมนุษย์ มาในรูปแบบมนุษย์

คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ

จุดธูป 9 ดอก ดอกกุหลาบแดง 9 ดอก

ตั้ง นะโม 3 จบ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์

ปุตตะ กาโม ละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเย กายะญายะ เทวานัง ปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ
มรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโมพุทธายะ
ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชาชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโต
เวสสะ พุสะ พุทธัง อรหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ

ข้อมูลจาก เว็บไซด์วัดจุฬามณี

ทางจีนท้าวกุเวร คือ สี่กษัตริย์แห่งสวรรค์

เต๋า เหวิน ต้า หวาง (สันสกฤต: वैश्रवण, Vaiśravanṇa; บาลี: เวสสะวัน, บิชามอน) เป็นหนึ่งใน “สี่กษัตริย์แห่งสวรรค์” แห่งภาคเหนือ ที่สามของ “ยี่สิบสวรรค์” และผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนา ” เรียนรู้มาก” หมายถึง การฟังธรรมอยู่เสมอ ความชำนาญในธรรม และได้ยินไปทั่วโลกด้วยพรและคุณธรรม เขาอาศัยอยู่ในวัดทองแห่งเขาพระสุเมรุ เขามีสีเขียวและสวมชุดเกราะ ราชาแห่งราชาแห่งสวรรค์คือราชาแห่งยักษัสและมียักษัส รากษส ฯลฯ เป็นบริวารของพระองค์ ในตำนานอินเดียน เขาเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์แห่งทิศเหนือ เทพเจ้าแห่งความรู้ และเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง เขาเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามที่สำคัญมากในญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่เขียนว่า “บิชามอนเตน”

พระพุทธศาสนา
กษัตริย์แห่งเมือง Duowen เป็นนักบุญอุปถัมภ์แห่งทิศเหนือ ร่วมกับกษัตริย์แห่งธรรมะทางทิศตะวันออก (เช่น โดราชา) กษัตริย์แห่งความเจริญทางทิศใต้ (เช่น ปิลูชะ) และกษัตริย์แห่งกวงมูทางทิศตะวันตก (เช่น ปิลีโบชา) พวกเขาเรียกรวมกันว่า “สี่ผู้ยิ่งใหญ่” ราชาแห่งสวรรค์ Duowen ยังเป็นผู้นำของราชาแห่งสวรรค์ทั้งสี่อีกด้วย

ตามตำนาน กษัตริย์แห่งเหวินเหวินมักจะปกป้องอาศรมของตถาคต ดังนั้น พระองค์จึงทรงได้ยินคำสอนของตถาคตบ่อยครั้งเนื่องจากโชคชะตา จึงถูกเรียกว่าเทพเจ้าแห่งความรู้

Duowentian เป็นหนึ่งในเทพเจ้าผู้ปกป้องธรรมะในบรรดามังกรสวรรค์ทั้งแปดในพระพุทธศาสนา เขาอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ ผี และสัตว์ใน “สวรรค์ทั้งสี่” ซึ่งเป็นสวรรค์แห่งแรกในโลกแห่งความปรารถนา มีรูปปั้นกษัตริย์บิชามอนทรงถือรูปหนู ของสะสมพิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัดเสฉวน
พระหัตถ์ขวาถือตรีศูล และพระหัตถ์ซ้าย ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของกษัตริย์องค์เจดีย์

ในประเทศจีนในเวลาต่อมา หอคอยและง้าวในมือของรูปปั้นได้เปลี่ยนเป็น “ร่ม” หรือ “อาคาร” และราชาแห่งสวรรค์ทั้งสี่ก็ให้ความหมายอันเป็นมงคลแก่คนรุ่นต่อไปของ “อากาศดี” อีกนัยหนึ่งมักจะถือหนูเงิน หรือหนูเหลืองก็พ่นไข่มุกออกมาได้ ในวัดบางแห่งมีรูปร่มถือร่มและเจดีย์อยู่ในมือข้างเดียวด้วย

ในญี่ปุ่น ว่ากันว่ามือข้างหนึ่งถือไม้สมบัติและอีกมือถือเจดีย์

ความเชื่อตะเวนเทียนวัง (บิชะมงเตน)
ในราชวงศ์ถังของจีน จักรพรรดิหมิงแห่งราชวงศ์ถังสามารถระงับความสับสนวุ่นวายมากมายได้เนื่องจากพรของกษัตริย์ Duowen ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ประดิษฐานที่นี่เป็นพิเศษ กองทัพของราชวงศ์ถังต่างชักธงเป็นรูปกษัตริย์ Duowen และพวกเขาถูกเรียกว่า “Tianwang Banners” เพื่ออวยพรให้ศิลปะการต่อสู้เจริญรุ่งเรือง

หลังจากที่พุทธศาสนาได้รับการแนะนำให้รู้จักในญี่ปุ่น นายพลจำนวนมากเชื่อในพุทธศาสนาในช่วงยุคสงครามระหว่างรัฐในญี่ปุ่น และ “เจ้าแห่งบิชามอนเท็น” ผู้โด่งดังก็ปรากฏตัวขึ้น นั่นก็คือ อุเอสึกิ เคนชิน เทพเจ้าแห่งกองทัพของเอจิโกะ ซึ่งอ้างว่าเป็นร่างอวตารของบิชามอนเท็น ธงทหารของเขามีคำว่า “PI” (รูปแบบของ “PI”)

บิชะมอนเท็นยังถูกรวมเป็นหนึ่งใน “เทพเจ้าแห่งความโชคดีทั้งเจ็ด” ในความเชื่อพื้นบ้านของญี่ปุ่นอีกด้วย ตามตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่น ครั้งหนึ่งมีวัดที่อุทิศให้กับ “บิชะมอนเท็น” พระในวัดสามารถรับอาหารได้ด้วยการโยนชามเปล่าขึ้นไปในอากาศ

King Duowen มีบุตรชายหลายคน คนหนึ่งชื่อ Dujian และอีกคนชื่อ Nezha (บางคนบอกว่า Nezha เป็นหลานชายของ King Duowen) ซึ่งทั้งสองคนเป็นผู้ปกป้องพระพุทธศาสนาคนสำคัญ

รุ่นต่อมาสันนิษฐานว่าภาพของกษัตริย์หลี่จิงและลูกชายของเขาเนจ่าใน “เฟิงเสินปัง” และ “การเดินทางไปทางทิศตะวันตก” มาจากกษัตริย์ Duowen และ Nezha

ที่มา Wikipedia


Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *