เทวีแห่งปัญญาความรู้
ศิลปวิทยาการ การภาวนาและพิธีกรรม
…พลังอำนาจแห่งมหาเทวีทั้ง 3…
พระแม่สรัสวดี คือ ชายาของ พระพรหม (ผู้สร้างโลก)
พระแม่ลักษมี คือ ชายาของ พระวิษณุ (ผู้ดูแลโลก)
พระแม่อุมา คือ ชายาของ พระศิวะ (ผู้ทำลายโลก)
พระแม่สรัสวดี เป็นตัวแทนแห่ง ปัญญาความรู้
พระแม่ลักษมี เป็นตัวแทนแห่ง ความร่ำรวย
พระแม่อุมา เป็นตัวแทนแห่ง ความมีอำนาจ
ซึ่งคุณสมบัติทั้ง 3 ประการนี้ (ความรู้ ร่ำรวย มีอำนาจ) ก็คือ 3 คุณสมบัติสูงสุดที่มนุษย์ทุกคนดิ้นรนแสวงหา และไม่มีผู้ใดปฏิเสธเลยว่า บุคคลที่มีทั้งปัญญาความรู้ มีทั้งความร่ำรวยสมบูรณ์ และมีทั้งอำนาจบารมี จะสามารถยืนหยัดเฉิดฉาย อยู่ในแวดวงสังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ชาวฮินดูจึงเชื่อว่า การกราบไหว้เคารพบูชาพระแม่หรือมหาเทวีทั้ง 3 พระองค์นี้ด้วยซื่อสัตย์ และมอบความรักความศรัทธาอย่างแรงกล้าแก่พระองค์แล้ว พระองค์ย่อมประทานพรให้ผู้ศรัทธาได้รับทั้งปัญญา ความร่ำรวย และความมีอำนาจอย่างครบถ้วน
ความงามของพระแม่ทั้ง 3 พระองค์นั้นก็มีความงามที่แตกต่างกันไป โดยผู้บูชาสามารถมองเห็นและรู้สึกได้ทุกคน นั่นคือ
พระแม่สรัสวดี มีความงามแบบ สุขุม นิ่ง เยือกเย็น ดูฉลาด
พระแม่ลักษมี มีความงามแบบ น่ารัก นุ่มนวล อ่อนช้อย ดูอบอุ่น
พระแม่อุมา มีความงามแบบ น่าเกรงขาม ดูเฉียบขาด
พระองค์ยังเป็นผู้ให้กำเนิดบทสวดมนต์บทแรกของจักรวาล ชาวฮินดูยังนับถือพระสรัสวดีเป็น เทวีแห่งเวทมนต์ คาถา และการประกอบพิธีกรรม ฉะนั้น หากมีการประกอบพิธีบูชาเทพหรือเทศกาลใดๆแล้ว ถ้าอัญเชิญ พระพิฆเนศ เป็นเทพองค์แรกก็จะทำให้พิธีนั้นๆเกิดสิริมงคลขึ้น และการอัญเชิญ พระแม่สรัสวตี ร่วมด้วย ก็ย่อมบันดาลให้การสวดมนต์และการประกอบพิธีกรรมทุกขั้นตอน ดำเนินไปอย่างศักดิ์สิทธิ์ มีพลังเข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูงสุด
พระสรัสวดีทรงโปรดการแสดงดนตรี การบรรเลงบทเพลง การร้องเพลงถวาย การอ่านบทกวีถวาย ฯลฯ ผู้บูชานิยมเปิดเพลง หรือบรรเลงดนตรีที่มีท่วงทำนองประณีตงดงามถวายแด่พระองค์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทใดท่านก็โปรดทั้งสิ้น เช่น พิณ จะเข้ ขิม ไวโอลีน กีต้าร์ เปียโน กลอง ฯลฯ
image from photobucket.com
รูปภาพของพระแม่สรัสวดี หรือ สรัสวตี นั้นจะสังเกตได้ง่ายที่สุดคือ พระองค์จะทรงเครื่องดนตรีที่เรียกว่า วีณา (จะเข้ของอินเดีย) อยู่เสมอ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการดนตรี ศิลปะทุกแขนง และการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ฯลฯ พระหัตถ์อีกข้างจะถือ คัมภีร์ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้ ปัญญา การเขียน การอ่าน การศึกษา และพระหัตถ์อีกข้างทรงถือ ลูกประคำ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการสวดมนต์ การภาวนา การทำสมาธิ การประกอบพิธีกรรม ฯลฯ
บางลัทธิ บางคติที่มีการวาดรูปพระสรัสวตีเพื่อการบูชานั้น อาจจะวาดให้พระองค์ทรง ขลุ่ย สังข์ คันศร คฑา บ่วง ลูกบด ประตัก ฯลฯ แล้วแต่จิตรกรจะสร้างสรรค์ขึ้น สำหรับพาหนะของพระแม่สรัสวดีคือ หงษ์ และ นกยูง เน้นที่สีขาว บางครั้งก็ทรงประทับบนดอกบัวสีขา
แม้ว่าพระสรัสวดีจะเป็นชายาของพระพรหม แต่ก็มักจะปรากฎเดี่ยวๆ ไม่ค่อยปรากฏคู่กับพระพรหมเท่าใดนัก หรือมักปรากฎพร้อมกับพระพิฆเนศและพระแม่ลักษมี ในรูปภาพบูชาแบบ ตรีเอกานุภาพ (พลังทั้งสาม) หรือปรากฎพร้อมพระแม่ลักษมีและพระแม่อุมา ในรูปภาพบูชาแบบ ตรีศักติ (พระแม่ทั้งสาม) มากกว่า
ในทางศาสนาพุทธ พระสรัสวดี ก็มีพุทธคติเป็นเทพแห่งการศึกษา โดยเฉพาะในพุทธนิกายมหายานนั้น ก็มีความสำคัญรองจาก พระนางปรัชญาปารมิตา และ พระนางตารา (ข้อมูลของ อ.กิตติ วัฒนะมหาตม์)
การบูชาพระสรัสวตีนั้นก็เหมาะสมแก่นักเรียน นักศึกษา มีการประดิษฐานเทวรูปในสถานศึกษา เช่น ที่ วัดเทพมณเฑียร ก็ประดิษฐานเทวรูปพระแม่สรัสวตีไว้หน้าทางเข้า โรงเรียนภารตวิทยาลัย ผู้ที่จะเดินเข้าโรงเรียนและวัดเทพมณเฑียรก็จะสักการะเทวรูปพระแม่สรัสวตีก่อนเสมอ นอกจากนี้พระแม่สรัสวดียังเหมาะสมแก่การบูชาสำหรับผู้มีอาชีพเป็นครู นักวิจัย นักวิชาการ นักโบราณคดี ผู้ที่อยู่ในแวดวงแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ฯลฯ
นอกเหนือจากวิชาชีพวิทยาศาสตร์ แพทยศาสตร์ และครุศาสตร์แล้ว ผู้ที่สมควรบูชาพระแม่สรัสวดีก็ยังมีสายวิชาชีพศิลปะ การวาดเขียน การแต่งเพลง การดนตรีทุกแขนง ตลอดจนสายนิเทศศาสตร์ นักเขียน นักข่าว นักพูด นักบรรยาย ฯลฯ
จริงๆแล้วก็เรียกได้ว่าครอบคลุมแทบทุกสาขาอาชีพเลยทีเดียว ฉะนั้น ผู้ที่ต้องการค้นคว้าหาความรู้และพัฒนาฝีมือทักษะในวิชาชีพของตนอย่างไม่หยุดนิ่ง ก็ขอแนะนำให้บูชาพระแม่สรัสวดีเป็นเทพประจำตัวเพื่อขอพรให้มีทักษะและความรู้เพิ่มพูนยิ่งๆขึ้นไป
คนไทยสมัยก่อนมักออกเสียงพระองค์ว่า สุรัสวดี อันปรากฎในหนังสือ จินดามณี และชาวไทยยังถือว่าพระองค์เป็นผู้อุปถัมภ์การละคร การแสดง การร่ายรำ จึงได้มีการมอบ รางวัลพระสุรัสวดี ให้แก่นักแสดงและผู้เกี่ยวข้องกับวงการภาพยนต์ไทยมานานหลายปีแล้ว
เทศกาลสำคัญขององค์พระแม่สรัสวดี คือ เทศกาลวสันตะ ปัญจมี ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี มีการประกอบพิธีบูชาพระสรัสวตีทั้งวันทั้งคืน พร้อมทั้งแห่เทวรูปไปทั่วเมือง และทำการสรงน้ำ หรืออัญเชิญลงสรงน้ำในแม่น้ำ เช่นเดียวกับวันคเณศจตุรถี มีการตกแต่งบ้านเรือนและเทวาลัยของพระองค์ด้วยดอกดาวเรือง ดูสวยงามไปทั้งเมือง การประกอบพิธีในเทศกาลนี้ก็เพื่อต้อนรับการมาของฤดูใบไม้ผลิ หรือวสันตฤดูนั่นเอง
ที่มา : สยามคเณศ
เบ็นไซเท็น

(ญี่ปุ่น: เบ็นไซเท็น/べんざいてん) เป็นผู้ปกป้องหนึ่งในสวรรค์ทั้งสิบสอง สวรรค์ยี่สิบแห่ง และสวรรค์ยี่สิบสี่แห่งในพระพุทธศาสนา เธอยังเป็นที่รู้จักในนามเทพีแห่งเสียง และยังเป็นหนึ่งในเทพเจ้าแห่งความดีทั้งเจ็ดอีกด้วย โชคลาภในตำนานญี่ปุ่น เทพธิดาผู้เป็นสัญลักษณ์ของความคมคาย ดนตรี และความมั่งคั่ง หรือที่เรียกกันว่า เบนเซียน (ญี่ปุ่น: Benzian/べんてん) เทพองค์นี้มีต้นกำเนิดมาจากเทพีสรัสวดีในศาสนาฮินดู และถูกดูดซึมเข้าสู่ศาสนาพุทธมหายานในฐานะผู้พิทักษ์
เบ็นไซเต็ง เป็นหนึ่งในเทพแห่งโชคลาภทั้งเจ็ด และเป็นเทพีแห่งกวี อักษรศาสตร์ นาฏกรรม และดนตรี เชื่อกันว่าผู้ใดนับถือเทวีพระองค์นี้ก็จะพบแสงสว่างแห่งปัญญา ในอดีตเกชะนิยมบูชาเบ็นไซเต็งเพราะเชื่อว่าจะทำให้มีความสามารถเชิงระบำรำฟ้อน ส่วนพวกตีนแมวและพวกย่องเบาเองก็นิยมบูชาเทวีพระองค์นี้เช่นกัน เพราะเชื่อว่าเบ็นไซเต็งจะดลบันดาลให้ภารกิจลุล่วงไปด้วยดี
คำว่า “คารมคมคาย” ยังหมายถึงความสามารถในการพูดและโต้เถียง และถือเป็นเทพธิดาที่เป็นสัญลักษณ์ของคารมคมคาย ชื่อเดิมของเทพธิดาวาทศิลป์คือสรัสวดี ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤตและมาจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สรัสวดี ดังนั้นเธอจึงถือเป็นเทพเจ้าแห่งแม่น้ำของอินเดีย ด้วยการนำพุทธศาสนามาใช้ เบ็นไซเท็นของญี่ปุ่นยังสืบทอดเอกลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งแม่น้ำอีกด้วย เสียงของแม่น้ำชวนให้นึกถึงดนตรี อนุมานถึงเทพเจ้าผู้มั่งคั่ง เช่น เทพเจ้าแห่งดนตรี เทพเจ้าแห่งบุญ เทพเจ้าแห่งการเรียนรู้และศิลปะ
รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ของเบ็นไซเท็นมีสองประเภท: ร่างสองกรและร่างแปดกร ภาพของรูปปั้นแปดกรนั้นมาจาก “เด็กหญิงชาว Birgentinian ผู้ยิ่งใหญ่” ใน “พระสูตรกวงหมิงทองคำ” คันธนูและลูกธนู ตามลำดับ หอก วงล้อเหล็ก เชือกไหม และวัตถุมงคลอื่นๆ เบ็นไซ เทนเซะสองกรถือพิณ และรูปนี้มาจากหนึ่งในสองมันดาลาของศาสนาพุทธตันตระ นอกจากนี้ยังสร้างรูปลักษณ์ของศาลเจ้าส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นซึ่งใกล้เคียงกับรูปของเทพธิดาหรือพระโพธิสัตว์ เบียนไช่ เทียนซิน มันตรา: โอม. จักรพรรดิซู่หลัวซาฟู่ลาก ซั่วปอเหอ.
ในญี่ปุ่น ห้องโถงที่เทพเจ้าประดิษฐานอยู่ส่วนใหญ่จะเรียกว่า “เบ็นเท็นชะ” (ญี่ปุ่น: เบนเซียนชะ) หรือ “เบ็นเท็นชะ” (ญี่ปุ่น: เบนเซียนชะ)
เนื่องจากเดิมทีพระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งแม่น้ำในอินเดีย ส่วนใหญ่จึงบูชาตามริมน้ำ เกาะ สระน้ำ น้ำพุ และสถานที่อื่นๆ และประกอบกับความเชื่อเกี่ยวกับงูและมังกรในวัดบางแห่งมีรูปปั้นหินที่มีหัวเป็นมนุษย์ และร่างงูหรือรูปปั้นหินรูปงูนั่งขัดสมาธิ ตั้งแต่ยุคกลาง เบ็นไซเท็นเริ่มคุ้นเคยกับ “เทพอูกะ” ไม่ว่าจะเป็นศีรษะมนุษย์และร่างงูตามที่กล่าวไว้ข้างต้น หรือมีรูปปั้นเทพเจ้าอูกะที่มีหน้ามนุษย์และมีร่างงูอยู่บนศีรษะ อย่างหลังเรียกว่า “อุกะเบ็นไซ (Uga Benzai) สิบ” (Uga Benzai (Uga Benzai) Ten) ในยุคปัจจุบัน เขาได้กลายเป็นหนึ่งใน “เทพเจ้าแห่งความโชคดีทั้งเจ็ด” และเสริมด้วยคุณลักษณะของพระเจ้า แห่งความมั่งคั่ง ได้แก่ เบ็นไซเท็น ตัวอย่างเช่น ที่ศาลเจ้าเซนาไรเบ็นไซเท็น อุกาฟุกุ ในเมืองคามาคุระ ว่ากันว่าน้ำจากถ้ำในศาลเจ้าแห่งนี้จะถูกใช้เพื่อชำระล้างเงินทองและความมั่งคั่ง
นอกจากนี้ คนญี่ปุ่นทั่วไปยังถือว่าเบ็นไซเท็นและอิจิสุมาฮิซึ่งเป็นหนึ่งในสามเทพธิดาแห่งมุนากาตะเป็นเทพเจ้าองค์เดียวกัน ยุคเมจิทำงานหนัก
ความเชื่อเรื่องเบ็นไซเทนยังได้รับการแนะนำให้รู้จักกับไต้หวันในช่วงยุคอาณานิคมของญี่ปุ่น และหินเซียนตงในเมืองจีหลงยังคงบูชาเบ็นไซเทนอยู่ ที่ตั้งปัจจุบันของชุมชนหยางหมิงในเมืองเถาหยวนเดิมคือ “บ่อเบ็นเทียน” ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเถาหยวน มี “เกาะเบ็นเทียน” อยู่ในสระน้ำในสมัยอาณานิคมของญี่ปุ่น มีการสร้าง “ศาลเจ้าฟูมานซา” ขึ้นบนเกาะแห่งนี้ เพื่อสักการะ Bencaitian ซึ่งแตกต่างจากศาลเจ้าอื่นๆ มากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ยังร่วมกันสักการะพระพุทธเจ้ากวนอิมและจักรพรรดิ์ Wugu ผู้ล่วงลับ และใช้สถาปัตยกรรมสไตล์ฝูเจี้ยนตอนใต้ นอกจากนี้ยังมีสระน้ำ Bencaitian ในสวน Chiayi ในเมือง Chiayi ครั้งหนึ่งเคยมี “วัด Bencaitian” อยู่ข้างสระน้ำเพื่อสักการะ Bencaitian แต่ Biantian Paradise ของเถาหยวนและเจียอี้ไม่มีอยู่อีกต่อไป

Source : wikipedia
Leave a Reply